บทที่ 2
กำหนดจุดหมายการเรียนรู้ (Setting Learning Goals)
กำหนดจุดหมายการเรียนรู้ ผู้เรียนต้องระบุจุดหมายการเรียนรู้ (goals) ด้วยการระบุความรู้และการปฏิบัติ โดยการระบุ ความรู้ในรูปของสารสรเทศ (declarative
knowledge) และระบุทักษะ การปฏิบัติหรือกระบวนการ (procedural
knowledge) จุดหมายการเรียนรู้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยจำนวนของบทเรียน
ปริมาณเนื้อหาสาระหรือความรู้สูงสุด
แต่หมายถึงความคาดหวังที่จะเรียนรู้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งและเจตนาที่จะให้ผู้เรียนแสดงถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้
จุดหมายการเรียนรู้
จุดหมายการเรียนรู้ (learning Goals)
ความปรารถนาอยากเรียนรู้ ความปรารถนาอาจมาจากบุคคล ประสบการณ์
สถานการณ์พิเศษหรืออื่นๆ David Henry Feldman (อ้างถึงในอารี
สัณหฉวี 2546 : 140 อารี สัณหฉวี ผู้แปล ความเก่ง
7 ชนิด ค้นหาและพัฒนาพหุปัญญาในตน กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์
(ร.ส.พ.) ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ เรียก
สิ่งที่จุดประกายความปรารถนาการณ์ตกผลึกนี้ว่า ประสบการณ์ตกผลึก (crystallizing
ezperiences) ประสบการณ์ประทับใจหรือประสบการณ์ตกผลึกนี้
จะเป็นประสบการณ์ที่เป็นจุดหักเหของชีวิต
ถ้าความปรารถนาที่จะเรียนรู้เกิดขึ้นหลังประสบการณ์ตกผลึก ก็จะมีการพัฒนาฟูมฟัก Alfred
North Whitehead (อ้างอิงในอารี สัณหฉวี 2546 :
141 ) กล่าวว่าในการพัฒนาฟูมฟักมี 3 ขั้น เรียกว่า
จังหวะของการศึกษา (rhythm of education) ขั้นที่หนึ่ง คือ
ระยะหลงรัก (romance) ระยะนี้จะเป็นความร่าเริง
มีชีวิตชีวาที่จะเรียนรู้ ขั้นที่สอง คือ ระยะของความแม่นยำ (precision) ระยะนี้จะต้องศึกษาฝึกหัดซ้อมให้ถูกต้องแม่นยำและขั้นที่สาม
คือระยะของความคล่องแคล่วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ (generalization) การกำหนดจุดหมายการเรียนรู้เป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาปัญญา
ซึ่งอาจวางแผนเพื่อพัฒนาปัญญาด้านใดด้านหนึ่งมาศึกษาและฝึกหัด
ในการวางแผนพัฒนาปัญญานี้ ผู้ที่ถนัดด้านมิติอาจทำเป็นเส้นเวลาหรือรูปภาพ
ผู้ที่ถนัดด้านมนุษย์สัมพันธ์อาจจะเล่าเรื่องให้เพื่อนสนิทฟัง เป็นต้น
จุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
Bloom และคณะ (1956)ได้จัดกลุ่มการเรียนรู้ออกเป็น 3 ประเภท คือ ด้านพุทธพิสัย
ด้านทักษะพิสัย และด้านพิสัย พุทธพิสัยรวมถึงการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ความรู้
ทักษะพิสัยรวมถึงการพัฒนาเสรีทางการและทักษะที่ต้องการใช้กล้ามเนื้อสัมพันธ์กับประสาทจิตพิสัยเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งเจตคติความซาบซึ้งและค่านิยม
การเรียนรู้ทั้งสามประการนี้ควรได้รับการพิจารณาในการวางแผนผลที่ได้รับจากการเรียนรู้ที่ได้จากการเรียนการสอน
ในการที่จะประสบผลสำเร็จตามจุดหมายของการศึกษา ขอบเขตการเรียนรู้ทั้งสามนี้ต้องได้รับการบูรณาการเข้าไว้ในทุกลักษณะของการเรียนการสอนและการพัฒนาหลักสูตรซึ่งจะทำให้ผู้เรียนกลายเป็นจุดโฟกัสของกระบวนการเรียนการสอนการเรียนรู้
ดังภาพประกอบที่ 3
ภาพประกอบที่ 3 บูรณาการของพุทธพิสัย ทักษะพิสัย
และจิตพิสัย
อนุกรมวิธาน เป็นระบบของการแยกแยะบางสิ่งบางอย่าง
ดังนั้น
อนุกรมวิธานของการศึกษาจึงแยกแยะพฤติกรรมที่นักเรียนสามารถคาดหวังที่จะทำให้ได้ภายหลังจากที่ได้เรียนรู้แล้ว
อนุกรมวิธานเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด คือ อนุกรมวิธานด้านพุทธิพิสัยของบลูมและคณะ
พุทธิพิสัย รวมถึง ความรู้ ความเข้าใจการนำไปประยุกต์ใช้การวิเคราะห์
การสังเคราะห์และการประเมินค่า
พุทธิพิสัยแต่ละประเภทในอนุกรมวิธานประกอบด้วยองค์ประกอบบางประการของประเภทความรู้ที่ต้องมาก่อนอนุกรมวิธานนี้มีประโยชน์สำหรับการออกแบบหลักสูตรและการสร้างแบบทดสอบ
ตารางที่ 1 อนุกรมวิธานทางปัญญาของบลูม
ระดับพฤติกรรม
|
นิยาม
|
1. ความรู้
|
เกี่ยวข้องกับความจำและการระลึกได้ของข้อความจริงเฉพาะคำต่างๆ
สัญลักษณ์ วันที่
สถานที่ ฯลฯ
กฎ แนวโน้ม ประเภท
วิธีการ ฯลฯ
หลักการ ทฤษฎี
วิธีการจัดความคิด
|
2. ความเข้าใจ
|
เกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะใช้
การเรียนรู้ แปลความ สรุปความ ตีความ ย่อความ ขยายรายละเอียด ทำนายผล
และผลที่ตามมา
|
3.
การนำไปประยุกต์ใช้
|
เกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะใช้ในการเรียนรู้ที่หลากหลายสถานการณ์การใช้หลักการและทฤษฎีการใช้ความเป็นนามธรรม
|
4. การวิเคราะห์
|
เกี่ยวข้องกับการแตกส่วนใหญ่ให้เป็นส่วนย่อยระบุหรือแยกส่วนของ
องค์ประกอบค้นพบปฏิสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยเชื่อม
ความสัมพันธ์ของหลักการ
|
5. การสังเคราะห์
|
เกี่ยวข้องกับการผสมผสานองค์ประกอบเข้าด้วยกันเป็นสิ่งใหม่ระบุและเชื่อ
องค์ประกอบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นการใหม่ๆ จัดการผสมผสานส่วนย่อยล่า ด้วยกันสร้างสิ่งใหม่ขึ้น
|
6. การประเมินค่า
|
เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณค่าของวัตถุและวิธีการ
พิจารณาในรูปของมาตรฐาน ภายในพิจารณาในรูปของมาตรฐานภายนอก
|
ตารางที่ 2 อนุกรมวิธานทางเจตคติของบลูม
ระดับพฤติกรรม
|
นิยาม
|
1. การรับรู้
|
เกี่ยวข้องกับความตั้งใจทางอ้อมที่มีต่อสิ่งกระตุ้น
การรับรู้ข้อความจริง ความ ถูกต้อง เหตุการณ์หรือโอกาส ความตั้งใจในการสังเกต
หรือความตั้งใจที่มีต่อ ภาระงาน เลือกสิ่งกระตุ้น
|
2. การตอบสนอง
|
เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งกระตุ้น
การยินยอมตาม ทิศทาง การอาสาสมัครด้วยตนเอง ความพึงพอใจหรือความร่าเริง
|
3. ค่านิยม
|
การให้คุณค่ากับบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้อง
แสดงออกถึงความเชื่ออย่างแข็งขันในบางสิ่งบางอย่าง แสดงออกถึงความชอบ
มากกว่าในบางสิ่งบางอย่าง แสวงหากิจกรรมเพื่อบางสิ่งบางอย่างข้างหน้า
|
4. การจัดการ
|
เป็นการจัดคุณค่าให้มีระบบ
เห็นคุณค่าที่ยึดถือมีความสัมพันธ์กับคุณค่าอื่นๆ ก่อตั้งคุณค่าที่มีลักษณะเด่น
เป็นค่านิยมของตนเอง
|
5. คุณลักษณะ
|
เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับระบบค่านิยมหรือคุณค่าภายใน
การกระทำที่สอดคล้องในทิศทางที่มีความแน่ใจ การพัฒนาปรัชญาชีวิตที่มีความคงเส้นคงวาทั้งหมด
|
ตารางที่ 3 อนุกรมวิธานทางทักษะพิสัย
พฤติกรรมการเรียนรู้
|
นิยาม
|
การเคลื่อนไหวทั่วไป
(Generic movement)
|
ปฏิบัติการเคลื่อนไหวหรือกระบวนการซึ่งให้ความสะดวกต่อการพัฒนา
แบบการเคลื่อนไหวของมนุษย์
|
1. การรับรู้
|
การจำท่าการเคลื่อนไหว
รูปร่าง แบบและทักษะโดยอวัยวะรับความรู้สึก
|
2. เลียนแบบ
|
เลียนแบบ
แบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะในเชิงของผลที่ได้จากการรับรู้
|
3. สร้างแบบ
|
จัดและใช้ส่วนของร่างกายในทิศทางที่ผสมกลมกลืน
เพื่อให้ประสบความสำเร็จในแบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะ
|
การเคลื่อนไหวตามปกติ
(Ordinary movement)
|
การพบกับข้อกำหนดของภาระงานการเคลื่อนไหวผ่านกระบวนการของการจัดการการแสดงออกและการแก้ไขแบบการเคลื่อนไหวและทักษะ
|
1. การปรับตัว
|
ปรับแบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะเพื่อให้พบกับภาระงานเฉพาะอย่างที่
(adapting) ต้องการ
|
2. การแก้ไข
|
ความกระตือรือร้นที่จะเคลื่อนไหวอย่างราบเรียบ
แบบการเคลื่อนไหว หรือ (refining) ทักษะที่แสดงออกมีประสิทธิภาพในเชิงแห่งผลของ กระบวนการปรับปรุง เช่น
1. ขจัดการเคลื่อนไหวที่แทรกซ้อน
2. รอบรู้ถึงความสัมพันธ์ของอวกาศกับจังหวะ
3. การแสดงออกทางนิสัยภายใต้สภาวการณ์ที่ซับซ้อน
|
การเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์
(Creative movement)
|
กระบวนการในการประดิษฐ์
หรือสร้างสรรค์การเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยทักษะซึ่งจะสนองความมุ่งหมายของผู้เรียน
|
1. ความหลากหลาย
|
ประดิษฐ์หรือสร้างทางเลือกในการปฏิบัติแบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะ
(Varying)
|
2. การดัดแปลงโดย
|
การเริ่มท่าการเคลื่อนไหว
การริเริ่มผสมผสานท่าการเคลื่อนไหว ไม่ต้องเตรียมตัวm (improvising)
|
3.
แต่งท่าการเคลื่อนไหว
|
สร้างสรรค์การออกแบบการเคลื่อนไหว
หรือทักษะที่มีคุณค่า (composing)
|
จิตพิสัย การเรียนรู้ทางเจตคติพาดพิงถึงคุณลักษณะของอารมณ์ของการเรียนรู้
เกี่ยวข้องกันว่านักเรียนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนรู้
รู้สึกอย่างไรกับการเรียนรู้กับตัวเอง และเป็นการพิจารณาความสนใจ ความซาบซึ้ง
เจตคติค่านิยมและคุณลักษณะของผู้เรียน
ทักษะพิสัย เกี่ยวข้องกับทางร่างกายหรือทักษะทางประสาทและกล้ามเนื้อสัมพันธ์กันในการเฝ้าดูการเรียนรู้ที่จะเดินก็จะเกิดความคิดว่ามนุษย์เรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวอย่างไร
เมื่อเด็กได้รับความคิดว่าต้องการอะไร และทักษะที่ต้องมีมาก่อนมีความแข็งแรง
และวุฒิภาวะและอื่นๆ เด็กจะพยายามมีความหยาบๆ ซึ่งจะค่อยๆ แก้ไขฐานข้อมูลกลับย้อนมาจากสิ่งแวดล้อม
เช่น ธรณีประตู การหกล้ม พรมผู้ปกครอง และสุดท้าย
ทักษะการแสดงออกซึ่งมีคุณค่าต่อวัยเด็กเตาะแตะนั้น
การปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
แอนเดอร์สัน และแครอทโฮล (2001) ได้ปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
(Blooms’ Taxonomy revise) ดังตารางที่ 4
ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบ Blooms’ Taxonomy 1956 และ 2001
New Version (Blooms’ Taxonomy 2001)
|
Old Version (Blooms’ Taxonomy 1956)
|
สร้างสรรค์-Creating
|
ประเมิน-Evaluating
|
การประเมิน-Evaluation
|
การสังเคราะห์-Synthesis
|
วิเคราะห์-Analysing
|
วิเคราะห์-Analysis
|
ประยุกต์-Applying
|
การนำไปใช้-Application
|
ความเข้าใจ-Understanding
|
ความเข้าใจ-Comprehension
|
ความจำ-Remembering
|
ความรู้-Knowledge
|
Bloom
(1956) ใช้คำนามในการอธิบายความรู้ประเภทต่างๆ ในฉบับปรับปรุง ปี
2001 ใช้คำกริยาและปรับเปลี่ยนคำว่าความรู้ (knowledge) เป็น ความจำ (remember) เมื่อนำเขียนจดหมายการศึกษาของหลักสูตรที่อิงมาตรฐาน
(standards-based curriculum) จะเขียนได้ว่า
ผู้เรียนควรรู้และทำอะไรได้ (เป็นกริยา) และได้จากความรู้เป็น 4 ประเภทได้ แก่
ข้อเท็จจริง (factual) มโนทัศน์ (concept) กระบวนการ (procedural)และอภิปัญญา (meta-cognition) และมีการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมหลักในกรอบเดิม 2 ขั้น คือ ขั้นความเข้าใจ
(comprehension) เปลี่ยนเป็น เข้าใจความหมาย (understand)และขั้นการประเมิน (evaluation) เป็น
สร้างสรรค์ (create)
การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
ที่กล่าวถึงมิติทางการเรียนรู้ของ Bloom และคณะ
(1956) ซึ่งแอนเดอร์สันและแครธโธล (Anderson and Krathwohl, 2001) ได้กล่าวถึงรายละเอียดของพฤติกรรมผู้เรียนและผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning
Outcome) โดยจำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1)
มิติด้านกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Dimension Process) และ 2) มิติด้านความรู้ (Knowledge Dimension) มิติด้านกระบวนการทางปัญญา
ได้แก่ การจำ (remembering) เรียกความรู้จากหน่วยความจำระยะยาว
ความเข้าใจ (Understanding) ศึกษาความหมายจากข้อมูลที่เรียนรู้
รวมถึงการพูด การเขียนและการสื่อสารรูปร่าง ประยุกต์ใช้ (Applying) ประยุกต์ขั้นตอน/ กระบวนการในงานที่คุ้นเคย วิเคราะห์ (Analyzing) จำแนกองค์ประกอบและหาความสัมพันธ์เพื่อกำหนดโครงการหรือเป้าหมายใหม่
การประเมิน (Evaluating) ตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์และมาตรฐาน
และสร้างสรรค์ (Creating) จัดองค์ประกอบหรือหน้าที่ให้เชื่อมโยงกันไปสู่รูปแบบหรือโครงสร้างใหม่
มิติด้านความรู้ จำแนกความรู้เป็น 4
ระดับ ได้แก่ 1) ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง (Facual Knowledge) พื้นฐานของผู้เรียนต้องรู้จักหลักการหรือวิธีการแก้ปัญหา 2) ความรู้ที่เป็นมโนทัศน์
(Conceptual Knowledge) ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบพื้นฐานในโครงสร้างทั้งหมดที่จะทำให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ 3) ความรู้ในการดำเนินการ (Procedural Knowledge) วิธีการสืบค้นและเกณฑ์ในการใช้ทักษะ เทคนิค วิธีการเพื่อดำเนินการ และ 4) ความรู้อภิปัญญา (Metacognitive Knowledge)ความรู้จากการรับรู้และความเข้าใจในตนเอง
การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษามีได้กล่าวถึงอภิปัญญา (Meta
cognitive Knowledge) เป็นมิติแห่งความรู้ คือ
การมีความรู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับความรู้ทางปัญญาโดยทั่วไป รู้ถึงความรู้ในตนเอง
ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษานี้มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ระดับอภิปัญญา (Meta
cognitive Knowledge) ตระหนักรู้ในตนเอง (Meta
awareness) การไตร่ตรอง ย้อนคิดในตนเอง (Meta
cognitive) และการกำกับดูแลตนเอง (Self-regulation)
เขียนตารางแสดงความสัมพันธ์ของมิติด้านกระบวนการทางปัญญา (Cognitive
Dimension Process) และ 2 มีมิติความรู้ (Knowledge
Dimension)
ตารางที่ 5 ความสัมพันธ์ของมิติด้านกระบวนการทางปัญญา กับ
มิติด้านความรู้
Cognitive Process
|
||||||
The Knowledge
Dimension
|
1
Remember
|
2
Understand
|
3
Apply
|
4
Analyze
|
5
Evaluate
|
6
Create
|
Factual
|
||||||
Conceptual
|
||||||
Procedural
|
||||||
Metacognitive
|
ที่มา : Anderson, L.
W. and Krathwohl, D. R., et al (Eds..) (2001)
Anderson
& KSISon & Krathwohl (2001)
นำเสนอรูปแบบของอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ความรู้ทาง ปัญญา (Knowledge
of of Cognition) และกระบวนการในการดูแล
ควบคุมกำกับติดตามตนเอง โดยแบ่งเป็น อภิปัญญาในความรู้ (Meta cognitive
knowledge) และอภิญญา (Meta cognitive knowledge) และอภิปัญญาในการควบคุมตนเอง (Meta cognitive Control) และความรู้เกี่ยวกับอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.
ความรู้ในกลยุทธวิธีการเรียนรู้ (Strategic knowledge)คือ
ความรู้ในกลยุทธ์ยุทธวิธี การเรียนรู้ การคิดการแก้ไขปัญหาในทุกกลุ่มวิชา 2.
ความรู้ในการ เลือกใช้กลยุทธ์และวิธีการเรียนรู้ (Knowledge about
Cognitive tasks) คือ การเลือกกลยุทธ์ ยุทธวิธี
ที่เหมาะสมกับภาระงานชิ้นงาน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในสภาพที่แตกต่างกัน และ 3.
การรู้ในตนเอง (Self-Knowledge) คือ การรู้ถึงความรู้
ความสามารถของตน การประเมินตนเองทั้งจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา และ
ควรพัฒนาตนเองอย่างไรเพื่อให้บรรลุภาระงานชิ้นหรือมีความรู้ที่เพียงพอในการแก้ไขปัญหานั้นๆ
จุดมุ่งหมายการศึกษาของมาร์ซาโน
Marzano
& Kendall, (2007)
ได้พัฒนาการจัดกลุ่มพฤติกรรมการเรียนรู้ขึ้นใหม่ แบ่งเป็น 1) ระบบปัญญา (Cognitive
System) 2) ระบบอภิปัญญา (Meta cognitive System) และ 3) ระบบตนเอง (Self-Knowledge) และได้จำแนกอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเป็น 6 ขั้น
ขั้นที่ 1 การดึงกลับคืนมา (Retrieval) ได้แก่
การระบุข้อความ (Recognizing) การระลึกได้ (Recalling)และลงมือปฏิบัติได้ (Executing)
ขั้นที่ 2 ความเข้าใจ (Comprehension) ได้แก่
การบูรณาการ (Integration) และการทำให้เป็นสัญลักษณ์ (Symbolizing)
ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์ (Analysis) ได้แก่ การจับคู่ได้ (Matching) แยกประเภทได้ (Classifying) วิเคราะห์ ความผิดพลาดได้ (Analyzing Error) ติดตามได้
(Generalizing) และชี้ให้จำเพาะเจาะจงได้ (Specifying)
ขั้นที่ 4 การนำความรู้ไปใช้ (Knowledge
Utilizing) ได้แก่ การตัดสินใจ (Decision Making) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทดลองปฏิบัติ
(Experimenting) และการสืบค้นต่อไปให้เกิดความเข้าใจ
ที่ลึกซึ้ง (Investigating)
ขั้นที่ 5 อภิปัญญา (Meta-cognition) ได้แก่ การระบุจุดหมาย (Specifying Goals) การกำกับติดตาม
กระบวนการ (Process Monitoring) การทำให้เกิดความชัดเจนในการกำกับติดตาม
(Monitoring Clarity) และ
การกำกับติดตามตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring Accuracy)
ขั้นที่ 6 การมีระบบความคิดของตนเอง (Self-System
thinking) ได้แก่ การตรวจสอบประสิทธิภาพ (Examining
Efficacy) การตรวจสอบการตอบสนองทางอารมณ์ (Examining
Emotional Response) และการตรวจสอบ (Examining
Motivation)
Marzano,
(2000) ได้นำเสนอมิติใหม่ทางการศึกษา ดังนี้
ตารางที่ 6 มิติใหม่ทางการศึกษาระบบตนเอง
ระบบตนเอง (Self-System)
|
||
ความเชื่อเกี่ยวกับความสำคัญของความรู้
(Beliefs About
theImportance of Knowledge)
|
ความเชื่อเกี่ยวกับประสิทธิภาพ(Beliefs About Efficacy)
|
อารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวพันกับ
ความรู้ (Emotions Associated
with Knowledge )
|
ตารางที่ 7 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบอภิปัญญา
ระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive System)
|
|||
การบ่งชี้จุดหมาย(Specifying LearningGoals)
|
การเฝ้าระวังในกระบวนการ
/การนำความรู้ไปใช้ (Monitoring
the Execution Knowledge)
|
การทำให้เกิดความชัดเจน(Monitoring Clarity)
|
การตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring
Accuracy)
|
ตารางที่ 8 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบปัญญา
ระบบปัญญา (Cognitive System )
|
||||||
การเรียกใช้ความรู้
(Knowledge Retrieval)
|
ความเข้าใจ
(Comprehension)
|
การวิเคราะห์
(Analysis)
|
การนำความรู้ไปใช้
(Knowledge Utilizing)
|
|||
การระลึกได้ (Recalling) การลงมือปฏิบัติได้ (Executing)
|
การสังเคราะห์ (Synthesis) การกกำหนดสัญลักษณ์/การเป็นตัวแทน (Representation)
|
การจับคู่ได้ (Matching)แยกประเภทได้(Classifying) วิเคราะห์ความผิดพลาดได้(Analyzing Error) การกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป(Generalizing) การกำหนดเฉพาะเจาะจงได้(Specifying)
|
การตัดสินใจ (Decision Making) การแก้ปัญหา (Problem
Solving) การทดลองปฏิบัติ (Experimenting)
การสืบค้นต่อไปให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง (Investigating)
|
|||
ขอบเขตความรู้ (Knowledge Domain)
|
||||||
ข้อมูล
(Information)
|
ขั้นตอนคิดวิธีการดำเนินการ
(Mental Procedures)
|
ขั้นตอนการลงมือทำ
(Physical Procedures)
|
||||
3) การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
|
หมายถึง
การจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในการส่งเสริม
สนับสนุนการเรียนรู้
|
|||||
4) ให้คำแนะนำ ใช้คำถามและมโนทัศน์ล่วงหน้า(Cues, Questions and
Advance Organizes)
|
คือ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถจดจำใช้และจัดการกับความที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา
|
|||||
5) การแสดงออกโดยภาษากาย (Nonlinguistic Representations)
|
คือ
การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถนำเสนอและให้รายละเอียดในการแสดงถึงความรู้
|
|||||
6) สรุปความและจดบันทึก (Summarizing and Note taking)
|
หมายถึง
การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและจัดการกับข้อมูลโดยการสรุปสาระสำคัญ
และข้อมูล
สนับสนุน
|
|||||
7) มอบหมายงานและให้ปฏิบัติ (Assigning
Homework and Providing)
|
หมายถึง
การให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ, ทบทวนและประยุกต์ใช้ความรู้
การสร้างเสริมให้นักเรียนได้เข้าถึงระดับของความเชี่ยวชาญในทักษะหรือกระบวนการที่คาดหวัง
|
|||||
8)
ระบุความเหมือนความแตกต่าง (Identifying Similarities and Differences)
|
หมายถึง
การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้
กระบวนการทางปัญญาในการระบุหรือ จำแนกสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง
|
|||||
9)
สร้างและทดสอบสมมติฐาน
(Generating and testing Hypotheses)
|
หมายถึง
การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมนักเรียนเข้าใจและ
สามารถใช้ความรู้และกระบวนการทางปัญญาในการสร้าง และทดสอบสมมติฐาน
|
|||||
Marzano, R., & Kendall, J.( 2001) นำเสนอระบบอภิปัญญา (Meta cognitive System) เป็นระบบที่ มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self - Directed Learning) ที่มุ่งให้ผู้เรียนควบคุม กำกับ ดูแล การปฏิบัติภาระงานชิ้นงาน ตามเป้าหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การติดตามดูแลปรับปรุง ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ วิธีการต่าง ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสมให้ภาระงานชิ้นงาน นั้นลุล่วงตามภารกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ครู แนวคิดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในด้าน cognitive domain ตามที่มาร์ซาร์โน (Marzano Taxonomy) ได้นำเสนอไว้เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ Blooms Taxonomy และ Marzano Taxonomy ได้ดังนี้
ตารางที่ 9 การเปรียบเทียบ Blooms Taxonomy และ Marzano
Taxonomy
จากตารางเปรียบเทียบสรุปว่า วัตถุประสงค์การเรียนรู้ตาม Bloom Taxonomy ด้าน cognitive domain นั้น Marzano Taxonomy เรียกว่า cognitive
system อีกสองระบบที่เพิ่มขึ้นไม่พบใน Bloom
Taxonomy คือ Meta-cognitive system และ sell system) มาร์ซาโน ได้อ้างถึง
แนวคิดของ Sternberg (Marzano, 1998: 54 - 37)
กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของระบบอภิปัญญาที่ใช้ในการจัดการตนเอง (organizing) การกำกับติดตาม (Monitoring) การประเมิน (Evaluating) และการควบคุม(regulating) ซึ่งองค์ประกอบของการรู้คิดแบ่ง
ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ มาร์ซาโน
กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของระบบอภิปัญญาที่ใช้ในการจัดการตนเอง (organizing) การกำกับติดตาม (Monitoring) การประเมิน (Evaluating) และการควบคุม (regulating) โดยแบ่ง ออกเป็น 4
กลุ่ม ได้แก่
1. การระบุจุดหมายเฉพาะเจาะจง (Goal specification) คือ การกำหนดจุดหมายของชิ้นงาน (the job of the goal) ที่ผู้เรียนตัดสินใจเลือกปฏิบัติ โดยมีการกำหนดผลสำเร็จของงานในแต่ละขั้น
2. การระบุกระบวนการที่ชัดเจน (Process specification) คือ การกำหนดความรู้ ทักษะหรือ กลวิธี ขั้นตอนกระบวนการเพื่อการบรรลุจุดหมายของชิ้นงานอย่างเหมาะสม
3. การกำกับดูแลกระบวนการ (Process monitoring) คือ การติดตามควบคุมแต่ละกระบวนการแต่ละขั้นตอนในการนำทักษะ
กลวิธีไปใช้สร้างสรรค์งานชิ้นงานอย่างมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพโดยใช้เวลาและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
4. การกำกับดูแลการปฏิบัติของตน (Disposition monitoring) คือ เป็นคน ปฏิบัติงานที่เหมาะสม
เพื่อให้งานเกิดประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ เช่น การให้ความสำคัญกับงานมุ่งเน้น
ผลผลิตที่มีความถูกต้อง แม่นยำ ความเป็นระบบ มีแรงจูงใจในการทำงาน
มีส่วนร่วมในการทำงาน ฯลฯ
แนวคิดเกี่ยวกับระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive system) ของ Marzano กล่าวสรุปองค์ประกอบ
การเรียนรู้ของระบบอภิปัญญาได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 1) การกำหนดจุดหมายของการเรียนรู้
(Specifying Learning Goals) 2)
การกำกับติดตามการปฏิบัติของกระบวนการทางปัญญา (Monitoring the Execution
of Knowledge) 3) การดูแลติดตามความชัดเจน
(Monitoring Clarity) และ 4)
การกำกับติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring Accuracy)
แนวคิดการกำหนดวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานของกระบวนการคิดร่วมกับปัจจัยที่
ส่งผลต่อการคิดของผู้เรียน ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษาที่มาร์ซาโน (Marzano) พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 ระบบ ได้แก่ 1)
Self – System คือ
ระบบที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในตนเองในการปฏิบัติภาระงานชิ้นงานด้วยความ
เต็มใจตั้งใจมีความสุข และมีความมุ่งหวังให้งานเกิดความสำเร็จ 2) Meta-cognitive
System คือ ระบบการ ควบคุมตนเองให้ปฏิบัติภาระงานชิ้นงาน
ที่เกิดขึ้นให้บรรลุผล ด้วยการการกำหนดจุดหมายของการเรียนรู้ (Specifying
Learning Goals) การดูแลติดตามการปฏิบัติของกระบวนการทางปัญญา
(Monitoring the Execution of Knowledge) การดูแลติดตามความชัดเจน
(Clarity) และการดูแลติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring
Accuracy) และ 3) Cognitive System คือ กระบวนการทางปัญญา (Mental Process) ที่จะปฏิบัติ
ภาระงานชิ้นงานสำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่งระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive
System) ถือเป็นระบบที่มุ่งสร้างให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเอง
(Self - Directed Learning) ที่มุ่งให้ผู้เรียนควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติ
ภาระงานชิ้นงาน ตามจุดหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์
ยุทธวิธีและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนการติดตามดูแลปรับปรุงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการต่างๆ
ตามความจำเป็นและเหมาะสมให้ภาระงาน ชิ้นงานนั้นลุล่วงตามภารกิจ
ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สอน
การกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมายมี 2 ลักษณะ คือ
จุดมุ่งหมาย(goals) ที่มีลักษณะกว้างๆ
ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่ไม่สามารถวัด หรือสังเกตได้ทันที
จุดมุ่งหมายที่มีลักษณะเฉพาะ
สังเกตเห็นพฤติกรรมหรือการปฏิบัติของผู้เรียนได้
บางครั้งเรียกว่าจุดประสงค์การเรียนรู้ (performance objective) จำแนกออกเป็น 2
ประเภทใหญ่คือ จุดประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพ(potential performance) จุดประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ(typical performance)
การเขียนจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจนสื่อความหมายให้เข้าใจนัยเพียงหนึ่งเดียว
การระบุสมรรถภาพให้ชัดเจน
ควรได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรียนรู้จบรายวิชาแล้วมีความสามารถที่จะทำอะไรได้
โดยที่เอาการเรียนรู้รายวิชานั้น ๆ ยังไม่สามารถทำได้
การเชื่อมโยงอดีตกับอนาคต
ถ้าเป็นไปได้เน้นย้ำมโนทัศน์จากชั้นเรียนที่ผ่านมา
พยายามเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์กับมโนทัศน์ที่จะเรียนในอนาคต
จุดมุ่งหมายกับการทดสอบ
ถ้าเราเขียนจุดมุ่งหมายได้ชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหาจะทำให้สร้างแบบทดสอบได้ง่าย
ยังสามารถกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะทำให้ได้เป็นอย่างดี
การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก ABCD
A แทน Audience หมายถึง ผู้เรียนที่แสดงพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายและกำหนดเวลา
B แทน Behavior หมายถึง พฤติกรรมที่คาดหวังจากผู้เรียนโดยเน้นพฤติกรรมที่สังเกตได้
C แทน Conditions หมายถึง สภาพการณ์หรือเงื่อนไขที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมที่สามารถวัดได้
D แทน Degree หมายถึง
ระดับเกณฑ์การวัดที่กำหนดขึ้นมาให้ผู้เรียนปฏิบัติ
การเขียนจุดมุ่งหมายามหลัก SMART
1. S Sensible 4: Specific จุดมุ่งหมายต้องเฉพาะเจาะจงชัดเจน
จุดมุ่งหมายการเรียนการสอน ต้องมีความเป็นไปได้และชี้เฉพาะ
2. M -
Measurable จุดมุ่งหมายต้องสามารถวัดผลได้
ซึ่งช่วยให้ได้ข้อมูลว่าผลการดำเนินการ เป็นอย่างไร ประสบความสสำเร็จหรือไม่
3. A - Attainable
& Assignable จุดมุ่งหมายต้องเป็นไปได้
และผู้เรียนหรือผู้ปฏิบัตินำไปปฏิบัติ
ได้หรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
4. R - Reasonable
& Realistic จุดมุ่งหมายต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลกันและเป็นไปได้จริง
5. I - Time
Available จุดมุ่งหมายต้องมีกำหนดเวลา เป็นไปได้ตามเวลา
เมื่อเวลาเปลี่ยนไปหรือ สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ จุดมุ่งหมายก็ควรเปลี่ยนไปด้วย
จุดมุ่งหมายการศึกษาอิงมาตรฐาน
Harris and Carr (1996 รุ่งนภา นุตราวงศ์, ผู้แปล 2545 : 14-16) ให้คำจํากัดความของมาตรฐาน เนื้อหา(content
standard) และมาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน (Student
performance standards) ดังนี้
มาตรฐานเนื้อหา (Content standard) ระบุองค์ความรู้ที่สำคัญ
ทักษะและพัฒนาการด้านจิตใจ ดังนี้
1. องค์ความรู้ที่สำคัญ (essential knowledge) ระบุถึง แนวความคิด
ประเด็นปัญหา ทางเลือก กฎเกณฑ์ และความคิดรวบยอดในวิทยาการต่าง ๆ ที่สำคัญ
ตัวอย่างเช่น
ผู้เรียนสามารถอธิบายช่วงเวลา และเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์
และวิเคราะห์ช่วงเวลา การเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น ชุมชน ในประทศและในภูมิภาคต่าง ๆ
ของโลก
ผู้เรียนสามารถเข้าใจประวัติความเป็นมา และโครงสร้างของภาษาอังกฤษ
(ประโยค ย่อหน้า บทความ) ผู้เรียนสามารถเข้าใจธรรมชาติและการทำงานของเซลล์
ทั้งการทำงานเป็นเอกเทศและการทำงานร่วมกันเป็นระบบที่ซับซ้อน
2. ทักษะ (Skills) เป็นวิธีการคิด การทำงาน การสื่อสาร และการศึกษาสำรวจ
ตัวอย่างใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการบรรยาย
และอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติใช้ระเบียบวิธีการทางสถิติในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ตีความ เปรียบเทียบ และสรุปผล เกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์
และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในสังคม
3. พัฒนาการด้านจิตใจ (Habits of mind) การเรียนรู้และประสบการณ์จากการศึกษาทั้งใน
โรงเรียนและนอกโรงเรียน มีผลต่อพัฒนาการด้านจิตใตของผู้เรียน
รวมถึงกระบวนการในการศึกษาค้นคว้า การแสดงข้อมูล หลักฐานสนับสนุนความคิด
การอภิปรายโต้แย้ง และความพึงพอใจในการทำงานร่วมกับ ผู้อื่น ตัวอย่าง
ผู้เรียนสามารถประเมินการเรียนรู้ของตนเอง โดยการสร้างเกณฑ์เพื่อใช้ประเมินงานที่มี
คุณภาพ ผู้เรียนสามารถแสดงออกถึงความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น การเป็นผู้นำ
และความ มั่นคงในตนเอง
มาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน
มาตรฐานการปฏิบัติ (student performance standards) จะบอกถึงคุณภาพ
โดยที่มาตรฐานเนื้อหาจะระบุถึงสิ่งใดที่ผู้เรียนควรรู้
และทักษะใดที่ผู้เรียนควรทำได้ มาตรฐานการปฏิบัติจะบอกถึงระดับคุณภาพและ
ระดับที่ผู้เรียนต้องรู้หรือต้องทำสิ่งนั้นได้ ตัวอย่าง
กรณีที่มาตรฐานเนื้อหาระบุว่า ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจข้อมูลจากสื่อ ภาพ
และบทอ่านจากสื่อต่าง ๆ อย่างหลากหลาย
มาตรฐานการปฏิบัติ อาจจะระบุว่า
ผู้เรียนควรอ่านหนังสืออย่างน้อยที่สุด 25 เล่ม ต่อปี เลือกอ่าน
บทอ่านที่มีคุณภาพทั้งที่เป็นเรื่องอมตะ และเรื่องราวที่ทันสมัย
จากหนังสือวรรณกรรมสำหรับเด็ก หรือจาก แหล่งข้อมูลอื่น ๆ เช่น จาก นิตยสาร
หนังสือพิมพ์ หนังสือเรียน และสื่อเทคโนโลยี
Wiggins (1994) จัดกลุ่มมาตรฐานการเรียนรู้ไว้ 4 กลุ่ม คือ
1. มาตรฐานผลลัพธ์หรือผลกระทบ (Impact) เป็นมาตรฐานที่ระบุผลที่ต้องการจากการ
ปฏิบัติงานใดงานหนึ่งของผู้เรียน เช่น
กำหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์เพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อ ผู้ฟัง
หรือให้ผู้เรียนเขียนสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือให้ผู้เรียนใช้ความรู้ ทางภูมิศาสตร์ในการวางแผนอนาคต เป็นต้น
2. มาตรฐานกระบวนการ (Process)เป็นมาตรฐานที่สะท้อนยุทธวิธี เทคนิค
วิธีการที่เหมาะสมที่ 4 เช่น มาตรฐานที่กำหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์อย่างชัดเจน
หรือให้ผู้เรียนเขียนสื่อสารได้อย่างสละสลวยสัมพันธ์กัน
หรือให้ผู้เรียนใช้กระบวนการที่เหมาะสมในการสร้างหรือปรับเปลี่ยน
3. มาตรฐานเนื้อหา (content) เป็นมาตรฐานที่ระบุเนื้อหาสาระ
ความคิดรวบยอด แนวความคิด ข้อมูลต่าง ๆ เช่น ผู้เรียนรู้สมบัติของสสาร
มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการผลิตการจำน่าย และความต้องการของตลาด เป็นต้น
มาตรฐานที่แสคงกฎหรือรูปแบบ (Rule or form) เป็นมาตรฐานที่เกี่ยวกับสูตร
กฎเกณฑ์ซึ่งมี รูปแบบเฉพาะ ปริมาตร ปริมาณ อัตราส่วน ตัวอย่าง ผู้เรียนสร้างกราฟ
ซึ่งมีข้อมูลกำกับและใช้สได้อย่าง ถูกต้อง
มาตรฐานนี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น
ให้ผู้เรียนใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสาร ต่าง ๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง
ๆ
การกำหนดมาตรฐานในหน่วยการเรียนให้มาจากหลายมาตรฐาน
จึงจะช่วยให้กิจกรรมการเรียน การสอนและการประเมินมีความครอบคลุมยิ่งขึ้น
การกำหนดมาตรฐานที่เป็นกระบวนการก็จะไม่มี ความหมายหากไม่มีเนื้อหา
หรือการกำหนดมาตรฐานที่เน้นเนื้อหาเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ประโยชน์แก่
ผู้เรียนเท่าที่ควร หากไม่มีการนำกระบวนการนำไปปรับใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
การวางแผนจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้
Joyce and weil, (1996 : 334) อ้างว่า
มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ชี้ให้เห็นว่า การสอนมุ่งเน้นการให้
ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน
ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วย
ให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน การเรียนการสอน โดยจัดสาระและวิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีทั้ง
ทางด้านเนื้อหา ความรู้ และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ (academic
learning) เป็น ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด
ผู้เรียนมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่เรียนและช่วยให้ผู้เรียนถึง 80% ประสบความสำเร็จในการเรียน
นอกจากนั้นยังพบว่า บรรยากาศการเรียนที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้เรียน
สามารถสกัดกั้นความสำเร็จของผู้เรียนได้ ดังนั้น ผู้สอนจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง
ไม่ทำให้ผู้เรียนเกิด ความรู้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากล่าวแสดงความไม่พอใจ
หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน
การเรียนการสอนโดยตรง
การเรียนการสอนโดยตรง ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญๆ 5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นนำ
1.1 ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน
และระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมการเรียน]" คาดหวังแก่ผู้เรียน
1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน
และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการเก็บของ ผู้เรียนอย่างคร่าวๆ
1.3 ผู้สอนชี้แจงกระบวนการเรียนรู้
และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนแต่ละขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอบทเรียน
2.1 หากเป็นการนำเสนอเนื้อหาสาระ ข้อความรู้
หรือมโนทัศน์ ผู้สอนควรกลั่นกรองและ สกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น
และนำเสนออย่างชัดเจน พร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่าง ประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ
ต่อไปจึงสรุปคำนิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์
ก่อนให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติ หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่ 3 ขั้นปฏิบัติตามแบบ (structured practice)
ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม
ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ ให้การ เสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การกำกับของผู้ชี้แนะ (guided practice)
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆ
ผู้สอนจะสามารถประเมินการ
เรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสำเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียน
และ ช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียน แก้ไขข้อผิดพลาดต่าง
ๆ
ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ (independent practice)
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่ 4 ได้ถูกต้องประมาณ 8.5
496 แล้ว ผู้สอนควร ปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ
เพื่อช่วยให้เกิดความชำนาญ และการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่
จำเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที สามารถให้ภายหลังได้
การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทำติดต่อกันในครั้งเดียว ควรมีการฝึกเป็นระยะ ๆ
เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนนานขึ้น
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
การเรียนการสอนแบบนี้ เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้ง
ทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาจำกัด ไม่สับสน
ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามความสามารถของตนจนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียนและมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
สรุป การสอนโดยตรงโดยทั่วไปมี 3 ขั้นตอนได้แก่
1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
2 การนำเสนอข้อมูลใหม่
3 การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติให้ข้อมูลย้อนกลับและการประยุกต์ใช้
ขั้นที่ 1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
สร้างแรงจูงใจผู้เรียนให้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาระงานที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งงานเสร็จสิ้น
ขั้นที่ 2 การนำเสนอข้อมูลหมายให้กับผู้เรียน
การอธิบาย พยายามใช้การปฏิสัมพันธ์และการป้อนคำถาม-ถามทีละขั้นตอน
สาธิต เรียนการสอนที่ซับซ้อนปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดด้วยมีเครื่องมือจำกัดและ
คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน
ตำรา แหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่า
แบบฝึกหัดสำหรับผู้เรียน การฝึกเขียนการจัดระบบระเบียบและการจัดเก็บข้อมูล
สารสนเทศ
โสตทัศนูปกรณ์
สร้างความน่าสนใจและแม่นยำในการนำเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
ขั้นที่ 3 การ
การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติให้ข้อมูลย้อนกลับและการประยุกต์ใช้
สาระเบื้องต้นคือ การยืนยันความถูกต้องเพื่อความแน่ใจและการให้แนวคิดและข้อเสนอ
แนะ
ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะต้องทำงานเป็นรายบุคคลแม้ว่าการทำงานเป็นกลุ่มจะเป็นที่ยอมรับก็ตาม
โอกาสที่ผู้เรียนจะได้รับได้แก่ : ตอบคําถาม การแก้ปัญหา
สร้างโครงสร้าง ต้นแบบวาดแผนภูมิ สาธิตทักษะเป็นต้น
การเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง(Construstivist Methods :
CLM) มีพื้นฐานแนวคิดที่ว่าผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อนเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริงการเรียนรู้จักวิธีการนี้ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สำรวจถึงความเป็นไปได้คิดวิธีแก้ปัญหาทดสอบแนวคิดใหม่ๆการร่วมมือกับผู้เรียนการคิดทบทวนปัญหาและท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้นการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเชื่อว่าความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ตามแนวคิดของคอนตรัคติวิสท์(Construstivist)
ที่เปลี่ยนแนวคิดในการจัดการศึกษาตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม(Behaviorism)
ซึ่งระบุจุดประสงค์ (Domains of objective) ระดับความรู้ (Level
of knowledge)
และการให้แรงเสริม(Reeinforcement)เป็นแนวคิดในการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้
ความคิด (Cognitive theory) ที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง(construct their own
knowledge)จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นผลมาจากประสบการณ์และระเบียบแบบแผนทางความคิดของผู้เรียนแต่ละคนการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์มุ่งเตรียมผู้เรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่คลุมเครือทฤษฎีการเรียนรู้แบบ
constructivism สนใจศึกษากระบวนการเรียนรู้ด้วยการกระทำของตนเองเมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นบุคคลจะใช้โครงสร้างทางปัญญา(Cognitive
structure)ที่มีอยู่เดิมตามปฏิสัมพันธ์กับ
สิ่งแวดล้อมหรือเพื่อนๆที่อยู่รอบข้างความขัดแย้งทางปัญญาจึงเป็นแรงจูงใจให้เกิดการต่อ
ไตร่ตรอง (reflection)อันเป็นกิจกรรมของการตรวจสอบและปรับเปลี่ยนสมมติฐานทางความคิดด้วยเหตุและผลซึ่งนำไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญาต่อไป
การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Construstivist
Methods : CLM)
เชื่อว่าความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคลและสิ่งแวดล้อมผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างความรู้จากความรู้ที่มาก่อนเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริงในการเรียนรู้ผู้เรียน
จะได้รับการส่งเสริมให้สำรวจถึงความเป็นไปได้วิธีคิดแก้ปัญหา
ตรวจสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น
การคิดทบทวนปัญหาและท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ที่ตนเองคิดค้นขึ้น
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสร้างความต่อเนื่องระหว่างข้อมูลสารสนเทศใหม่
กับ
ความรู้เดิม รู้เป็นผลของการผลิตหรือการสร้างสรรค์ทางปัญญา
มนุษย์จะเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด
ถ้าหากได้ลงมือสร้างความหมายหรือความเข้าใจของตนด้วยตนเอง การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียน
สร้างโครงสร้างความรู้หรือความเข้าใจอย่างแข็งขันและมีเจตนามุ่งมั่นชัดเจน
โดยผู้เรียน
จะสลายความขัดแย้ง(Conflict Resolution) หรือความไม่เข้ากันของแนวคิดหรือข้อมูลต่างๆ
โดยการพินิจพิเคราะห์คำอธิบายหรือเหตุผลเชิงทฤษฎี มนุษย์สร้างโลกทัดของตนเอง
ขึ้นจากประสบการณ์จริงในเวลานั้น
และโครงสร้างความรู้เดิมที่อยู่ในรูป Schema มนุษย์ใช้ Schema ในการตีความหรือสร้างความหมายให้กับประสบการณ์หรือข้อมูลใหม่
เมื่อมีการเรียนรู้
เกิดขึ้นจะมีการปรับ Schema ให้มีความครอบคลุม
และมีประสิทธิภาพในการตีความที่สูงขึ้น
ในเรื่องกระบวนการเรียนการสอนผู้เรียนมีความสำคัญในฐานะผู้ที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุหรือปรากฏการณ์
โดยการสังเกต การวัดหรือประมาณการ การตีความ หรือการกระทำ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจสร้างความคิดรวบยอดต่อสิ่งเหล่านั้น ผู้เรียนเป็นผู้สร้างแนวทางแก้ปัญหา
ของตนเอง ดังนั้น กลุ่มConstrustivis จึงเห็นคุณค่าของความคิดริเริ่มความเป็นอิสระในความคิด
ของผู้เรียน
แม่ให้ความสำคัญและอิทธิพลของบริบทการเรียนรู้และภูมิหลังเกี่ยวกับความเชื่อ
และ เจตคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้
Murphy
(1997 : Online ; citing Glasersfield 1999)
อธิบายสรุปได้ว่า บุคคลสร้างความรู้
โดยอาศัยการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและการสื่อสารในขณะที่ตนเองมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนหรือจัดระบบประสบการณ์เดิมของตนเองใหม่ ดังนั้นความรู้
จึงไม่สามารถถ่ายทอดจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ กลาเซอร์ฟิลด์
อธิบายการเรียนรู้
ว่าไม่เกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนอง
แต่การเรียนรู้เกิดจากการกำกับตนเอง (self - regulation) และการสร้างมโนทัศน์จากการสะท้อนความคิดซึ่งกันและกัน
murphy
( murphy1997 : Online) รวบรวมแนวคิดของนักการศึกษาต่างๆ
ในการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ สรุปได้ดังนี้
1. กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้มุมมองที่หลากหลายในการนำเสนอความหมายของมโนทัศน์
2. ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมายการเรียนของตนเองหรือจุดมุ่งหมายของ
การเรียนการสอนเกิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน
3. สอนแสดงบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ ผู้กำกับผู้ฝึกฝนอำนวยความสะดวกในการเรียน
ของผู้เรียน
4. จัดบริบทของการเรียน เช่น กิจกรรม โอกาส เครื่องมือ สภาพแวดล้อม
ที่ส่งเสริมวิธีการคิดและการกำกับและรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
5. ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างความรู้และกำกับการเรียนรู้ของตนเอง
6. จัดสถานการณ์การเรียน สภาพแวดล้อม ทักษะ
เนื้อหาและงานที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน
ตามสภาพที่เป็นจริง
7.ใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิเพื่อยืนยันสภาพการณ์ที่เป็นจริง
8. ส่งเสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ด้วยการเจรจาต่อรองทางสังคมและการเรียนรู้
ร่วมกัน
9. พิจารณาความรู้เดิม ความเชื่อและทัศนคติของนักเรียนประกอบการจัดกิจกรรม
การเรียน
10. ส่งเสริมการแก้ปัญหา
ทักษะการคิดระดับสูงและความเข้าใจเรื่องที่เรียนอย่างลึกซึ้ง 11. นำความผิดพลาด ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์
ต่อการเรียนรู้
12. ส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาความรู้อย่างอิสระ วางแผนและการดำเนินงานเพื่อให้
บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง
13. ให้นักเรียนได้เรียนรู้งานที่ซับซ้อน
ทักษะและความรู้ที่จำเป็นจากการลงมือ
ปฏิบัติด้วยตนเอง
14.
ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ของเรื่องที่เรียน
15.
อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียนโดยให้คำแนะนำหรือให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นต้น
16.
วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริงขณะดำเนินกิจกรรมการเรียนการ
สอนจากแนวคิดของนักการศึกษาดังกล่าว
Gagnon & Collay (2001 : 2)ได้เสนอแนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎี
คอนสตรัคติวิสต์ (Construstivist Learning
design) วาดประกอบด้วย 6 ส่วนที่สำคัญได้แก่
สถานการณ์ (Situation) การจัดกลุ่ม (Grouping) การเชื่อมโยง(Bridge) การซักถาม (Question) การจัดแสดงผลงาน (Exhibit) และการสะท้อนความรู้สึกในการปฏิบัติงาน
(Reflection)
โดยในการออกแบบครั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ครูผู้สอนวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และ
สะท้อนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน( Reflection about the process of student
learning) กล่าวคือ ครูจะจัดสถานการณ์เพื่อให้นักเรียนอธิบายเรื่องกระบวนการในการจัดกลุ่ม
(Grouping) นักเรียนหรือซื้ออุปกรณ์สำหรับใช้ในการอธิบายสถานการณ์พยายามสร้างความเชื่อมโยง
(Bridge) ระหว่างสิ่งที่เป็นความรู้เดิมของนักเรียนกับสิ่งที่นักเรียนต้องการจะเรียนรู้
สรุปคุณลักษณะของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์มีดังนี้
1. ผู้เรียนสร้างความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
2.
การเรียนรู้สิ่งใหม่ขึ้นกับความรู้เดิมและความเข้าใจที่มีอยู่ในปัจจุบัน
3. การมีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมมีความสำคัญต่อการเรียนรู้
4. การจัดสิ่งแวดล้อมกิจกรรมที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
อย่างมีความหมาย
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เป็นทฤษฎีการเรียนรู้
ดังนั้นตัวทฤษฎีเองไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนการสอนไม่มีลำดับขั้นการสอน
Henrique (1997) ศึกษาทิดสะดี Honda Civic และตีความผิดคดีนี้โดยพิจารณาจากมุมมองด้าน
และตีความผิดคดีนี้โดยพิจารณาจากมุมมองด้านปรัชญา การจิตวิทยา
ด้านญาณวิทยาและด้านการเรียนการสอนและจำแนกทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ได้ 4 แนวคิดได้แก่
1. แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ แบบกระบวนการทางสมองในการประมวลผล
(information processing
approach )หรือแนวคิดแบบการประมวลผลข้อมูลนั้น ใช้พื้นฐาน
ที่ว่านักเรียนเรียนรู้สิ่งที่เป็นความจริงไม่ว่าจะเรียนรู้จากครูหรือการได้รับประสบการณ์การเรียนรู้โดยการประมวลผลข้อมูลนี้ใช้หลักว่ามีความจริง
ที่เป็นสากลที่สามารถวัดและทำเป็นแบบได้ ตามหลักปรัชญาของพอสิทิวิสต์ (positivits philosophical tradition)
2. แนวคิดอินเตอร์เอกทีฟคอนสตรัคติวิสท์ (interactive
Constructivist approach) อินเทลแรกทีฟคอนสตรักติวิสต์
เป็นมุมมองที่ว่านักเรียนสร้างความรู้และเรียนรู้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กัน จับต้องได้และผู้คนรอบข้าง
3. แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์เชิงสังคม (social constructivist
approach) แนวคิดแบบโซชัก สตรักติวิสท์
แนวคิดนี้ใช้หลักการว่าความรู้เกิดขึ้นในระดับชุมชนเมื่อผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั้นมีปฏิสัมพันธ์กัน
4. แนวคิดเรดิคอลคอนสตรัคติวิสท์ (radical constructivist
approach) แนวคิดแบบแรติคือต้น สตรักติวิสท์
แนวคิดนี้เชื่อว่าความคิดมาหมายหลากหลายล้วนแต่มีทางที่จะเป็นจริงได้
แนวคิดนี้จึงบอกว่าไม่ มีความคิดใดเป็นจริงมากกว่ากัน
แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์ ทั้ง 4 แนวคิด มีข้อตกลงเบื้องต้นที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
เหมือนกัน สรุปได้ 3 ประการคือ
1. การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล
ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของ ตน ไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้แทนกันได้
2. ความรู้ ความเข้าใจและความเชื่อที่มีอยู่เดิมส่งผลต่อการเรียนรู้
3. ความขัดแย้งทางความคิดเอื้ออำนวยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้
เพื่อลดความขัดแย้งทางความคิด
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนทางด้านการศึกษา กล่าวคือ
เปลี่ยนจากรูปแบบ การศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งเน้นในเรื่องเชาว์ปัญญา (Intelligence) จุดประสงค์
(Domains of objective)ระดับความรู้ (Level of
Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement) มาเป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive
theory) ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการ
เรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ (Constructivist learning) ที่มีความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้าง ความรู้ของตนเอง (Construct
their own knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gagnon
& Collay 2001:1)
ข้อตกลงเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
1. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ เมื่อทำกิจกรรมการเรียนรู้
2. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือสร้างความหมาย
เมื่อผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรม
3. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสังคม
เมื่อต้องการนำความหมายที่ตนเองสร้างขึ้นไป มี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ
การเรียนรู้แบบสร้างความรู้ด้วยตนเองสรุปได้ 3 ขั้น ( http://www2.southeastern.edu/ Academies/ Faculty /rhancock/ theory.htm#CM) ดังนี้
1. การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
2. การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
3. การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ขั้นตอนที่ 1 การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
ผู้เรียนแต่ละคนต่างมีความคิดดั้งเดิมและมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกหรือปรับเปลี่ยนมโน
ทัศน์ (แนวคิด)ดังกล่าว ความคิดของผู้เรียนนั้นท้าทายความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
ชักชวนให้ผู้เรียนเปลี่ยน แนวคิดและยอมรับความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 1
สัมภาษณ์หรืออภิปรายกลุ่ม
แบ่งกลุ่มข้อมูลหรือจำแนกข้อมูล
แบ่งกลุ่มข้อมูล เรียงลำดับข้อมูลตามลักษณะบางประการ (เช่น มวลสาร)
จำแนกข้อมูล จัดกลุ่มวัตถุโดยใช้ลักษะทางคุณภาพหรือปริมาณ(สี รูปร่าง
ขนาด) แผนที่ความคิดหรือแผนผังมโนทัศน์ ระดมสมองที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก
เหตุการณ์ที่ขัดแย้ง เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล
ขั้นตอนที่ 2 การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
การวางแผนแบบร่วมกัน : การวางแผนเครื่องมือที่สร้างแรงจูงใจที่เข้มแข็ง
ผู้เรียนได้รับ ข้อมูลว่าจะต้องเรียนรู้อะไรจากหัวข้อบ้าง
อภิปรายเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ให้ขอบข่าย
สาระสำคัญในเรื่องที่เรียนรู้
กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 2
นักจัดการขั้นสูง (advance organizers) ข้อมูลใหม่เชื่อมโยงเข้ากับความรู้เก่าที่มีอยู่แล้ว
ได้อย่างไร
อภิปัญญา (meta-cognition) ผู้เรียนกำกับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ผู้เรียนเป็นผู้นำใน การเรียนรู้ด้วยตนเอง
เทคนิควิทยาศาสตร์ (techno-sciencing) ใช้กิจกรรมเป็นฐานประกอบคำอธิบาย
ตัดสินใจด้วยตนเอง ปรัชญาส่วนบุคคล การใช้ความคิดอุปมาอุปมัย
ใช้แนวคิดที่คุ้นเคยนำแนวคิดแบบ อุปมาอุปมัยมาใช้
ขั้นตอนที่ 3 การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ผู้เรียนได้รับข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้
ความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นของคนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ความรู้ถูกทำให้กระจ่างและยืนยันความถูกต้องเมื่อผู้เรียนนำความรู้ใหม่ไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์
ความรู้ได้รับจะถูกปรับแต่งตามข้อมูลย้อนกลับที่ได้รับ
กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 3
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
สร้างความเข้าใจและแสดงออกในรูปการใช้โมเดล ช่วยในการสร้างความเข้าใจ
และยังสาธิตมโนทัศน์ของความเข้าใจ หลักการ และ
กระบวนการที่เป็นเลิศเทคนิคที่ใช้ในการแสวงหาความรู้และการยืนยันความถูกต้อง
ของความรู้
การทดลอง/
การออกแบบและเทคโนโลยี ใช้สืบเสาะหาความรู้เป็นฐาน
วิธีการแบบบูรณาการ
สร้างความเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อ คำถามและแนวคิดอื่นๆ
สาขาวิชา
(แนวคิดหลัก) การประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง
ช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงสอดคล้องทฤษฎีและการปฏิบัติ
กลยุทธ์การสอนที่มีประสิทธิภาพ
ตามแนวคิด ของ มาร์ซาโน
การตั้งจุดมุ่งหมาย จุดประสงค์ (Setting objectives) แนวทางการตั้งจุดประสงค์ มีดังนี้ 1) ตั้ง
จุดประสงค์ให้ชัดเจนตามเกณฑ์แต่ไม่ตายตัว 2)
สื่อสารจุดประสงค์ให้กับผู้เรียนและครอบ ตรงกัน 3)
เชื่อมโยงจุดประสงค์การเรียนรู้กับสิ่งที่เรียนรู้เดิมและการเรียนรู้ใหม่ 4) ใน
การตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้ของตนเอง
การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Providing Feedback) การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เกี่ยวกับส่งจุดประสงค์การเรียนรู้และนำไปสู่การพัฒนาการปฏิบัติและความเข้าใจ
ซึ่งแนวทาง ประสิทธิภาพ ดังนี้ 1) ข้อมูลย้อนกลับจะต้องมีความ ประโยชน์ต่อไป 2)
การให้ข้อมูลย้อนกลับควรคำนึงถึงเวลาที่เหมาะสมและจำเป็น มา
ควรมีเกณฑ์อ้างอิงชัดเจน 4) ควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการให้ข้อย้อนกลับ
การให้การเสริมแรง (Reinforcing Effort) มีวิธีการดังนี้ 1) สอนนักเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างการเสริมแรงและผลสัมฤทธิ์ 2) แจ้งผู้เรียนให้ชัดเจนในวิธีการ กระบวนการในการให้แรงเสริม 3) ถามผู้เรียนถึงผลที่เกิดจากการเสริมแรงสู่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
การให้การยอมรับ (Providing Recognition) มีวิธีการดังนี้ 1) ส่งเสริม เป้าหมายมุ่งเน้นการเป็นผู้ รอบรู้ 2) ให้การยกย่อง สำหรับสิ่งที่เป็นไปตามความคาดหรือทั้งในด้านการปฏิบัติและพฤติกรรม 3) ใช้ สัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม ในการแสดงการยอมรับ เป็นการให้รางวัล
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีวิธีการดังนี้ 1) ควรยึดหลักของการมีปฏิสัมพันธ์ ทางบวกและการรับผิดชอบในความสำเร็จส่วนบุคคล 2) จัดเป็นกลุ่มเล็ก 3-5 คน 3) ใช้การเรียนรู้แบบ ร่วมมืออย่างสอดคล้องและเป็นระบบ
การใช้การแนะนำและคำถาม (Cues and Questions) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้เฉพาะประเด็นที่สำคัญ 2) ให้คำแนะนำที่ชัดเจน 3) ถามคำถามเชิงอนุมาน 4) ถามคำถามเชิงวิเคราะห์
การให้มโนทัศน์ล่วงหน้า (Advance Organizers) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้การอธิบายในการสร้างมโน ทัศน์ล่วงหน้า 2) ใช้การบรรยายในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า 3) ใช้สรุปภาพรวมในการสร้างมโนทัศน์ ล่วงหน้า 4) ใช้กราฟิกในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า
การใช้ภาษากายแสดงออก (Nonlinguistic Representations) มีวิธีการดังนี้ 1)ใช้กราฟิกในการ นำเสนอ 2) จัดกระทำหรือทำตัวแบบ 3)ใช้รูปแสดงความคิดนำเสนอ 4) สร้างรูปภาพ, สัญลักษณ์
สรุปและจดบันทึก (Summarizing and note taking) มีวิธีการดังนี้ 1) สอนนักเรียนให้รู้จัก
วิธีการ บันทึก สรุป ที่มีประสิทธิภาพ 2) ใช้แบบฟอร์มการสรุป 3) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการบันทึกการสอน ซึ่ง กันและกัน
การให้การบ้าน (Assigning Homework) มีวิธีการดังนี้ 1)พัฒนาและสื่อสาร นโยบายการมอบหมาย การบ้านของโรงเรียน 2) ออกแบบการบ้านที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ทางวิธีการ 3)ให้ข้อมูลย้อนกลับในงาน ที่มอบหมาย
การให้ฝึกปฏิบัติ (Providing Practice) มีวิธีการดังนี้ 1)ต้องบอกถึงวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติ อย่างชัดเจน 2)ออกแบบการปฏิบัติที่ เจาะจงและเวลาเหมาะสม 3) ให้ทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหา
การบอกความเหมือนและความแตกต่าง (Identifying Similarity) มีวิธีการดังนี้ 1) วิธีการบอกความ
เหมือนความแตกต่างที่หลากหลายวิธี 2) แนะนำนักเรียนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการของการกำหนดความ
เหมือนความแตกต่าง 3) ให้คำแนะนำที่ช่วยให้นักเรียน
กำหนดความเหมือนความแตกต่างได้
การสร้างและทดสอบสมมติฐาน (Generating and testing
Hypotheses) มีวิธีการดังนี้ 1)ให้นักเรียน
มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ในรูปแบบของการสร้างและทดสอบสมมติฐานที่หลากหลาย 2) การและให้นักเรียน อธิบายสมมติฐานและและข้อสรุป
สรุป
มิติใหม่อนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามแนวคิด Bloor's
Taxonomy เป็นแนวทางให้นักศึกษาวิชาชีพครูสามารถจัดการเรียน
จุดหมาย รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ ยุทธวิธีและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนการติดตามดูแลปรับปรุงออกแบบและพัฒนาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
(การจัดการเรียนรู้และการจัดการ เรียนรู้เพื่อส่งเสริม Meta-cognitionสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู
นักศึกษามีแนวทางในการพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในการกำหนดจุดหมายในการเรียนรู้และกำกับตนเองไปถึงจุดหมายดังกล่าว
ประโยชน์โดยตรงกับการพัฒนาวิชาชีพครู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น