บทที่ 6
การบูรณาการความรู้
(Integrated
Knowledge)
I: การบูรณาการความรู้
(Integrated Knowledge) การเชื่อมโยงความรู้ที่เกี่ยวข้องภาย*
ของรายวิชาเดียวกันหรือหลากหลายวิชาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถนําความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง
เรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated learning Management) เป็นกระบวนการจัดประสบการณ์โดยเชื่อมโยมสาระความรู้ของศาสตร์ต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ผู้เรียนได้รับความรู้ ทักษะ และเจตคติ
การบูรณาการความรู้หมายถึง
การโยงความรู้ หรือการสร้างความสัมพันธ์และรวมแนวคิดเป็นหนึ่ง เดียวในสถานการณ์ต่างๆ
การบูรณาการทําให้ผู้เรียนได้รับความรู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเป็นความรู้ที่
ลุ่มลึกและยั่งยืน การบูรณาการความรู้เป็นสิ่งจําเป็น โดยเฉพาะในยุคที่มีความรู้ ข้อมูล
ข่าวสารมาก การบูรณา การความรู้อาจเขียนเป็นลําดับความสัมพันธ์ได้ดังนี้ เริ่มจาก ข้อมูล
(data)
สารสนเทศ (information)-ความรู้ (knowledge)
ปัญญา (wisdom) เป้าหมายหลักของการเรียนคือเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้สิ่งที่ถือว่าสําคัญใน
เรื่องที่กําหนดหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเพื่อแสวงหาและรวบรวมความรู้ นวัตกรรมด้านการศึกษาจํานวนมากไม่
สนใจความสําคัญของความรู้ด้านเนื้อหา แต่นักเรียนที่เรียนแบบบูรณาการความรู้ โดยการสํารวจ
การจัด จําแนก การจัดการ และการสังเคราะห์ความคิดและข้อมูลสารสนเทศเพื่อประเมินประสบการณ์และแก้ปัญหา
บรรจุอยู่ในหลักสูตรเรียกว่า หลักสูตรบูรณาการ (Integrated Curricula) โดยนําความคิดหลักในวิชามา สัมพันธ์กันเป็นการเชื่อมโยงในแนวนอน ระหว่างหัวข้อ
และเนื้อหาต่าง ๆ ที่เป็นความรู้ ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย
และสัมพันธ์กับวิชาอื่นด้วย
แนวการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ
การพัฒนาผู้เรียนตามความสามารถที่แตกต่างกันจําเป็นต้องพัฒนาความสามารถทุกด้าน
ตาม แนวคิดของการ์ดเนอร์ (Gardner อ้างใน วิชัย วงษ์ใหญ่,
2542 : 8 -11) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้นําเสนอ ทฤษฎีพหุปัญญา (multiple
intelligence theory) สรุปได้ว่า ผู้เรียนมีความสามารถทั้ง 2 ด้าน คือ
ด้านภาษา ด้านตรรกและคณิตศาสตร์ ด้านภาพมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวด้านดนตรี
ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านการเข้าใจตนเอง และด้านความเข้าใจสภาพธรรมชาติ การเสริมสร้างความเก่งหรือศักยภาพความสามารถ
ด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียน ผู้สอนจะต้องเข้าใจผู้เรียน รู้ถึงความถนัดความสามารถในการเรียนรู้
หลากหลาย ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อจะกระตุ้นความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวผู้สอนให้
ความเด่นชัดปรากฏออกมาด้วยความรู้ความเข้าใจ ผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจ มีความอดทน
ประเมินจากผลการเรียนรู้ของผู้เรียน การพัฒนาความสามารถผู้สอนจึงมีหน้าที่ค้นหาความสามารถของผู้เรียนว่าเด่นและด้อยในเรื่องใดบ้าง
เพื่อจัดกิจกรรมสนับสนุนช่วยเหลือความสามารถในแต่ละด้านของตน
แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 มาตรา 23 ระบุว่า การมาต้องเน้นความสําคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการ
ซึ่งวิชัย วงษ์ใหญ่ กล่าวว่า การบูรณาการ คือ การผสมผสานที่กลมกลืนกันอย่างมีคุณภาพ
ระหว่างองค์ประกอบหรือ สงสัยต่างๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่มีเป้าหมายตรงกัน เพื่อให้ได้มาสิ่งใหม่หรือสภาพใหม่ที่มีคุณค่าและสมบูรณ์แบบ
โดยมีอัตราส่วนผสมที่มอบหมายภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออํานวยและด้วยวิธีการที่มี ประสิทธิภาพ
จะได้ประโยชน์จากการบูรณาการสู่ชีวิตและการเรียนรู้
การบูรณาการการเรียนรู้ คือ
การเชื่อมโยงระหว่างสาขาวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตร จะช่วยให้ผู้เรียน ตระหนักว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้
มีประโยชน์และสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ลักษณะการเรียนรู้จะจัดเป็น หน่วยการเรียนรู้หรือเป็นหัวเรื่อง
หน่วยบูรณาการ
thematic
approach จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้คือ
- ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความหมาย
- เกิดองค์ความรู้
ความคิดแบบองค์รวม พัฒนาความสามารถการคิด
- เห็นความเชื่อมโยง นําไปสู่ความสามารถในการแก้ปัญหาแบบองค์รวม
- เกิดประสบการณ์
นําความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
- ผู้เรียนควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง
วิชัย วงษ์ใหญ่
(2547 : 4) กล่าวสรุปไว้ว่า ลักษณะการบูรณาการ 4 แบบ คือ
1. การสอดแทรก (infusion)
การบูรณาการแบบเชื่อมโยงโดยผู้สอนคนเดียว วิธีการสอดแทรกนี้ ผู้สอนวิชาใดวิชาหนึ่งนําวิชาอื่น
ๆ มาบูรณาการกับวิชาที่ตนสอนและสามารถเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงกับหัวเรื่อง
ชีวิตจริงหรือภาระการเรียนรู้ที่กําหนดขึ้นมา
2. คู่ขนาน (paralel)
วิธีการคู่ขนานผู้สอนหลายคนมาจากหลายวิชามาวางแผนร่วมกัน เพื่อรวม องค์ประกอบของหัวเรื่อง
(theme) มโนทัศน์ (concept) หรือปัญหา
(problem) แล้วผู้สอนแต่ละคน แต่ละ วิชาแยกกันและการกําหนดชิ้นงานขึ้นอยู่กับผู้สอน
แต่ต้องสะท้อนถึงหัวเรื่องแนวคิดหรือปัญหาที่กําหนดไว้ ร่วมกัน การบูรณาการแบบคู่ขนานในการสอน
ผู้สอนอาจตกลงกันว่าจะยึดเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ สอดคล้องกับการพัฒนาสังคมและชีวิตที่มีการเชื่อมโยงคู่ขนาน
เช่น ผู้สอนวิทยาศาสตร์จะสอนเรื่องเงา ผู้สอนศิลปอาจจะให้ผู้เรียนรู้เทคนิคการวาดรูปที่มีเงา
3. พหุวิทยาการ (multidisciplinary)
วิธีการพหุวิทยาการผู้สอนหลายคนมาจากหลายสาขาวิชามา วางแผนร่วมกันที่จะสอนเกี่ยวกับหัวเรื่อง
(theme) มโนทัศน์ ( concept) หรือปัญหา
(Problem) และกําหนด ภาพรวมของโครงการร่วมกันให้ออกมาเป็นชิ้นงานแบ่งโครงการออกเป็นโครงการย่อย
การบูรณาการในหลายสาขาผู้สอนร่วมมือกันสอนเป็นแบบโครงการ สามารถวางแผนสร้างสรรค์โครงการของตนเองขึ้นมาได้
4.การข้ามวิชาหรือการสอนทีม
(transdisciplinary)
วิธีการข้ามวิชาหรือสอนเป็นทีมผู้สอนแต่ละรายวิชามาวางแผนร่วมกันในองค์ประกอบ หัวเรื่อง มโนทัศน์ หรือปัญหา
กำหนดเป็นโครงการขึ้นมาและร่วมกันสองเป็นคณะ
กรมวิชาการ (กองวิจัยทางการศึกษา
กรมวิชาการ, 2545 : 6 - 7) เสนอแนวคิดในการจัดการ การสอนแบบบูรณาการไว้ดังนี้
1. การบูรณาการแบบผู้สอนคนเดียว
เป็นการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนหนึ่งคน มีการ เชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ
กับชีวิตจริง หรือการเชื่อมโยงสาระและกระบวนการเรียนรู้ภายในกลุ่มสาระ ต่าง ๆ เช่น
การอ่าน การเขียน คิดคํานวณ การคิดวิเคราะห์ ทําให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะและกระบวนการเรียนรู้
ไปแสวงหาความรู้ความจริงจากหัวข้อเรื่องที่กําหนด
2. การบูรณาการแบบคู่ขนาน
เป็นการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนสองคนขึ้นไป ร่วมกันจัดการเรียนการสอนโดยยึดหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง
เช่น ครูคนหนึ่งสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ส่วนครูอีกคน หนึ่งสอนวิชาคณิตศาสตร์ ในการสอนเรื่อง
“น้ํา” วิชาวิทยาศาสตร์อาจสอนเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ํา
สถานะต่างๆ ส่วนวิชาคณิตศาสตร์อาจสอนการวัดปริมาตร หรือน้ําหนักของน้ํา
3. การบูรณาการแบบสหวิทยาการ
เป็นการจัดการเรียนการสอนจากการนําเนื้อหาจากหลายกลุ่ม สาระมาเชื่อมโยงและจัดการเรียนการสอนร่วมกันในเรื่องเดียวกัน
เช่น ในวันสิ่งแวดล้อม ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย จัดการเรียนการสอนให้เรียนรู้คําศัพท์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์จัดกิจกรรมค้นคว้าหา ความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษาและวิชาสุขศึกษาให้เรียนรู้โดยทํากิจกรรมชมรม
สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
4. การบูรณาการแบบโครงการ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ครูผู้สอนและนักเรียนร่วมกัน
สร้างสรรค์โครงการ และใช้เวลาเรียนต่อเนื่องกันได้หลายชั่วโมง โดยการนําจํานวนชั่วโมงของแต่ละรายวิชา
ที่แยกกันอยู่ ที่เคยแยกกันสอน มารวมเป็นเรื่องเดียวกัน กําหนดเป้าหมายเดียวกัน ในลักษณะของการสอน
เป็นทีม ถ้าต้องการเน้นทักษะเฉพาะก็สามารถแยกกันสอนได้ เช่น กิจกรรมเข้าค่ายภาษาอังกฤษ
กิจกรรมค่าย ศิลปะ เป็นต้น
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2547 :
5) สรุปภาพรวมของรูปแบบเรียนการสอนแบบการบูรณาการ วิธีการ กิจกรรม การประเมินผล และผลการเรียนรู้
ไว้ดังนี้
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ
เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตัวเอง
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ
หมายถึง การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียน บทบาทสําคัญในการเป็นผู้เรียนรู้ โดยพยายามจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้
ได้มีปฏิสัมพันธ์กับนุก สื่อ และสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และผู้เรียนมีโอกาสนําความ
ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่น คําถามคือ ผู้สอนจะมีวิธีการหรือเทคนิคที่จะทําให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆ
ได้ อย่างไร ผู้สอนทั่วไปยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ
โดยเข้าใจ ว่า การให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเองคือ การปล่อยให้ผู้เรียน เรียนรู้กันเองโดยที่ผู้สอนไม่ต้องมีบทบาท
อะไร หรือใช้วิธีสั่งให้ผู้เรียนไปที่ห้องสมุด อ่านหนังสือกันเองแล้วเขียนรายงานมาส่งซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
แม้ว่าการให้การเรียนรู้เกิดขึ้นที่ตัวผู้เรียน เป็นลักษณะที่ถูกต้องของ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
สําคัญ แต่การที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ขึ้นมาได้เองนั้นเป็นเรื่องยาก ผู้สอนจึงต้องมีหน้าที่เตรียมจัด
สถานการณ์และกิจกรรมต่างๆ นําทางไปสู่ การเรียนรู้ โดยไม่ใช้วิธีบอกความรู้โดยตรง หรือถ้าจะจัด
สถานการณ์ให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้โดยใช้ห้องสมุดเป็นแหล่งข้อมูล ผู้สอนจะต้องสํารวจให้รู้ก่อนว่า
ภายในห้องสมุดมีข้อมูลอะไรอยู่บ้าง อยู่ที่ใด จะค้นหาอย่างไร แล้วจึงวางแผนสั่งการ
ผู้เรียนต้องรู้เป้าหมาย ของการค้นหาจากคําสั่งที่ผู้สอนให้รวมถึงการแนะแนวทางที่จะทํางานให้สําเร็จ
และในขณะที่ผู้เรียนลงมือ ปฏิบัติ ผู้สอนควรสังเกตการณ์อยู่ด้วย เพื่ออํานวยความสะดวก
นําข้อมูลนั้นมาปรับปรุง การจัดการเรียนการ สอนในครั้งต่อไป
เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนทํางานร่วมกับผู้อื่น
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญของผู้สอนอีก
ประการหนึ่ง คือ ผู้สอนเข้าใจว่าการจัดการเรียนการสอนแบบนี้ต้องจัดโต๊ะเก้าอี้ให้ผู้เรียนได้นั่งรวมกลุ่มกัน
โดยไม่เข้าใจว่าการนั่งรวมกลุ่มนั้นทําเพื่ออะไร ความเข้าใจที่ถูกต้องคือ เมื่อผู้เรียนจะต้องทํางานร่วมกัน
จึง จัดเก้าอี้ให้นั่งรวมกันเป็นกลุ่ม ไม่ใช่นั่งรวมกลุ่มกันแต่ต่างคนต่างทํางานของตัวเอง
การจัดให้ผู้เรียนทํางาน ร่วมกัน ผู้สอนจะต้องกํากับดูแลให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนมีบทบาทในการทํางาน
ซึ่งรูปแบบการจัดการเรียน การสอนประเภทหนึ่งที่ผู้สอนควรศึกษาเป็นแนวทางนําไปใช้เป็นเทคนิคในการจัดกิจกรรม
คือ รูปแบบการ จัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกัน (Cooperative
Learning)
วิทยากร เชียงกูล (2549) ได้กล่าวถึงลักษณะการจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกัน
เป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่มละ 4-5 คน โดยสมาชิกในกลุ่มมีระดับ
ความสามารถแตกต่างกัน สมาชิกทุกคนมีบทบาทหน้าที่ร่วมกันในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย
มี เป้าหมายและมีโอกาสได้รับรางวัลของความสําเร็จร่วมกัน วิธีการแบบนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมงานกันในเชิงบวก
มาปฏิสัมพันธ์แบบเผชิญหน้ากัน ได้มีโอกาสรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายจากกลุ่ม ได้พัฒนาทักษะทางสังคมและได้ใช้กระบวนการกลุ่มในการทํางานเพื่อสร้างความรู้ให้กับตนเอง
เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนนําความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวัน
ตามความหมายของการเรียนรู้ที่แท้จริง
คือ ผู้เรียนต้องมีโอกาสนําความรู้ที่เรียนรู้มาไปใช้ในการ ดําเนินชีวิต สิ่งที่เรียนรู้กับชีวิตจริงจึงต้องเป็นเรื่องเดียวกัน
ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียน ประยุกต์ใช้ความรู้ได้โดยสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนต้องแก้ปัญหาและนําความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้
หรือ ให้ผู้เรียนแสดงความรู้นั้นออกมาในลักษณะต่างๆ เช่น ให้วาดภาพแสดงรายละเอียดที่เรียนรู้จากการอ่านบท
ประพันธ์ในวิชาวรรณคดี เมื่อผู้สอนได้สอนให้เข้าใจโดยการตีความและแปลความแล้ว หรือในวิชาที่มี
เนื้อหาของการปฏิบัติ เมื่อผ่านกิจกรรม การเรียนรู้แล้วผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้ฝึกให้ทํางาน
ปฏิบัติซ้ําอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความชํานาญ
ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนนําความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้
ผู้สอนควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียน แสดงความสามารถในลักษณะต่างๆ และเปิดโอกาสให้มีความหลากหลาย
เพื่อตอบสนองความสามารถ เฉพาะที่ผู้เรียนแต่ละคนมีแตกต่างกัน นอกจากการใช้เทคนิคการออกคําสั่งให้ผู้เรียนแสดงการทํางานใน
ลักษณะต่างๆ แล้ว ผู้สอนอาจใช้วิธีการสอนบางวิธีที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้ในสถานการณ์อื่นๆ
ได้เช่นกัน
ตัวอย่างวิธีสอนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน
ผู้สอนเป็นผู้กํากับควบคุมให้ผู้เรียนทุกคนได้ ร่วมกันวางแผน ดําเนินการตามแผน และร่วมกันสรุปผลงาน
ผู้เรียนแต่ละคนจะได้เลือกและแสดง ความสามารถที่ตนเองถนัด เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย
จึงสามารถกล่าวขยายความได้ว่า การเรียนรู้โดยใช้ โครงงาน ซึ่งสามารถทําอย่างต่อเนื่องกันได้
โดยมีประเด็นดังนี้
1. ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ตนเองสนใจ
2. ผู้เรียนได้เรียนรู้หรือหาคําตอบด้วยตนเองโดยการคิดและปฏิบัติจริ
ง 3. วิธีการหาคําตอบมีความหลากหลายจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
4. นําข้อมูลหรือข้อความรู้จากการศึกษามาสรุปเป็นคําตอบหรือข้อค้นพบของตนเอง
5. มีระยะเวลาในการศึกษาหรือแสวงหาคําตอบพอสมควร
6. คําตอบหรือข้อค้นพบเชื่อมโยงต่อการพัฒนาความรู้ต่อไป
7. ผู้เรียนมีโอกาสเลือก วางแผน และจัดการนําเสนอคําตอบของปัญหาหรือผลของการค้นพบ
ด้วยวิธีการที่หลากหลายและสอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของตนเอง
การบูรณาการตามตัวชี้วัดการประกันคุณภาพการศึกษา
สํานักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา(2553
หน้า 119-128) การบูรณาการตามตัวชีวัด คุณภาพการศึกษา มีลักษณะดังนี้ (อ้างถึงใน สํานักบริการวิชาการและจัดหารายได้มหาวิทยาลัยรา”
1. การบูรณาการงานวิจัยกับการเรียนการสอน
มีการบูรณาการดังนี้
1.1 กรณีที่นักศึกษาบัณฑิตศึกษาเป็นทีมวิจัยของอาจารย์
โดยอาจารย์มีงานวิจัยในลักษณะ ชุดโครงการวิจัยที่เป็นร่มใหญ่และมีงานวิจัยย่อยๆ โดยนักศึกษาเข้าเป็นทีมในการวิจัยของอาจารย์ในชุดย่อยๆ
และมีอาจารย์ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการชุดใหญ่ ให้คําแนะนําปรึกษา นักศึกษาจะได้ฝึกฝนกระบวนการวิจัย
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทําให้นักศึกษาเกิดทักษะในกระบวนการทําวิจัย
1.2 กรณีที่นักศึกษาปริญญาตรีทําโครงการวิจัย
หรืองานสร้างสรรค์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานวิจัย หรืองานสร้างสรรค์ของอาจารย์ เป็นการออกแบบการเรียนการสอนด้วยการมอบหมายงานนักศึกษาใน
รูปแบบที่เป็นองค์ประกอบงานวิจัย โดยมีอาจารย์ควบคุมการ ดําเนินงานเป็นระยะ ๆ แต่มิใช่รายวิชาวิจัย
หรือ อาจารย์มีโครงการวิจัยและให้นักศึกษาร่วมเป็นทีมการทําวิจัยที่มีการมอบหมายงานอย่างชัดเจน
หรือให้ นักศึกษา เป็นผู้ช่วยนักวิจัยในโครงการวิจัย (Under
Study Concept) ที่มีแผนการวิจัยชัดเจนว่านักศึกษามีส่วน ร่วมในกระบวนการใดบ้าง
เช่น การทบทวนเอกสาร การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งวิธีนี้ต่างจากวิธี แรกที่นักศึกษาได้เรียนรู้กระบวนการทําวิจัยครบทุกขั้นตอน
แต่วิธีที่สองนี้ นักศึกษาได้เรียนรู้บางส่วนของ การวิจัยเท่านั้น ดังนั้นอาจารย์ควรดําเนินการเพิ่มเติมให้นักศึกษาได้เรียนรู้ครบ
กระบวนการด้วย
1.3 กรณีที่นักศึกษาทุกระดับ
ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกเข้าฟังการบรรยายหรือ สัมมนา เกี่ยวกับผลความก้าวหน้าในงานวิจัยของอาจารย์
หรือ เข้าร่วมการจัดแสดงงานสร้างสรรค์ของ อาจารย์ เพื่อให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์โดยตรงจากผู้เชี่ยวชาญ
แต่วิธีการนี้นักศึกษาต้องมีค่าใช้จ่ายใน การเข้าร่วมงานอาจทําให้นักศึกษาเข้าร่วมงานได้บางส่วนเท่านั้น
อาจารย์ ควรมอบหมายงานให้ผู้ที่เข้า ร่วมงานสรุปสิ่งที่ได้จากการเข้ารับฟังการบรรยายหรือสัมมนาเกี่ยวกับการวิจัย
และนํามาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกัน
1.4 จัดให้มีการประชุมนําเสนอผลงานวิจัยหรือแสดงงานสร้างสรรค์ของนักศึกษา
หรือ ส่งเสริมนักศึกษาเข้าร่วมประชุมการเสนอผลงานวิจัยและงานสร้างสรรค์ระดับชาติและนานาชาติ
1.5 การส่งเสริมให้อาจารย์นําผลลัพธ์ที่เกิดจากการวิจัยไปเป็นส่วนหนึ่ง
ของเนื้อหาใ. จัดการเรียนการสอน หมายถึงอาจารย์มีผลงานวิจัยที่สอดคล้องกับกับรายวิชาที่สอนและนําองค์ความ๒๘
๔. ข้อค้นพบจากงานวิจัยมาใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอน เพราะการวิจัยทําให้มีการค้นพบความรู้ใหม่
อยู่ตลอดเวลา ทําให้นักศึกษามีความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
ในการนําผลงานวิจัยมาใช้สอนนั้นต้องเป็น ผลงานวิจัยของอาจารย์ผู้สอนเองไม่สามารถนําผลงานวิจัยของบุคคลอื่นที่เป็นภายนอกมาไม่เรียกว่าเกิด
การบูรณาการ
2. การบูรณาการงานบริการวิชาการแก่สังคม
การบริการวิชาการหมายถึง กิจกรรมหรือ โครงการให้บริการแก่สังคมภายนอกสถาบันหรือเป็นการให้บริการที่จัดในสถาบันแต่ต้องเป็นการจัดให้กับ
เบคคลภายนอก ประเภทของการบริการวิชาการมีดังนี้ประเภทให้เปล่าโดยไม่มุ่งเน้นผลกําไร
เป็นลักษณะงาน บริการวิชาการหรือกิจกรรมที่จัดเพื่อบริการสังคม โดยมหาวิทยาลัยได้จัดสรรงบประมาณ
และ/หรือมีองค์กร ช่วยสนับสนุนในการลงทุนสําหรับการจัดกิจกรรม และให้ผู้ใช้บริการหรือผู้ร่วมกิจกรรมในการออก
ค่าใช้จ่าย ด้วยอีกส่วนหนึ่ง และประเภทหารายได้เป็นลักษณะงานบริการวิชาการหรือกิจกรรมที่จัดเพื่อ
บริการบุคคล กลุ่มบุคคล/องค์กร ภาครัฐ และเอกชน โดยผู้เข้าอบรมต้องเสียค่าใช้จ่าย
(งานบริการวิชาการ มหาวิทยาลัย มหิดล, 2556) ในการบูรณาการวิชาการแก่สังคม
สามารถดําเนินการได้ดังนี้
2.1 การบูรณาการงานบริการทางวิชาการแก่สังคมกับการเรียนการสอนเป็นการจัด
กระบวนการเรียนการสอนปกติ และมีการกําหนดให้นักศึกษานําความรู้ที่ได้รับจัดทําเป็นโครงการหรือ
กิจกรรม ไปบริการวิชาการให้กับบุคคลภายนอก
2.2 การบูรณาการงานบริการทางวิชาการแก่สังคมกับการวิจัยเป็นการนําองค์ความรู้จาก
งานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ หรือการนําความรู้ ประสบการณ์จากการบริการวิชาการกลับมาพัฒนาต่อยอด
ความรู้ใหม่โดยผ่านกระบวนการวิจัย
3. การบูรณาการงานด้านทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรมกับการจัดการเรียนการสอน
สถาบัน ควรสนับสนุนให้มีการทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรมไปบูรณาการร่วมกับการเรียนการสอน
คือมีการจัดการ เรียนการสอนที่นําการทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรมไปผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนการ
สอน เมื่อมีการบูรณาการกําหนดให้มีการประเมินความสําเร็จของการบูรณาการ และมีการนําผลการประเมิน
ไป ปรับปรุงการบูรณาการงานด้านทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรมการจัดการเรียนการสอน
การเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการ
นักการศึกษาไทยได้พยายามที่จะเสนอ
แนวคิดเพื่อการพัฒนาการศึกษาและการเรียนการสอนของ ไทยตลอดมา ในหนังสือนี้ได้ประมวลแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียน การสอนมานําเสนอ ได้แก่
1. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี
2. กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวัฒน์
3. กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสี
4. กระบวนการคิด
โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
5. กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
6. มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย
ทิศนา แขมมณี และคณะ
7. กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม
โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
8. กระบวนการต่างๆ โดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
8.1 ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น
8.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
8.4 กระบวนการแก้ปัญหา
8.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
8.6 กระบวนการปฏิบัติ
8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์
8.8 กระบวนการเรียนภาษา
8.9 กระบวนการกลุ่ม
8.10 กระบวนการสร้างเจตคติ
8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ
1. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ
4 โดย สาโรช บัวศรี
สาโรช บัวศรี (2526) มีนักศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและประสบการณ์สูงในวงการศึกษาท่านนี้เป็น
ผู้ริเริ่มจุดประกายความคิดในการนําหลักพุทธธรรมมาใช้ในการเรียนการสอนมานานกว่า 20
ปีมาแล้ว โดย การประยุกต์หลักอริยสัจ 4 อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค มาใช้เป็นกระบวนการแก้ปัญหา
โดยใช้ ควบคู่กับแนวทางปฏิบัติที่เรียกว่า “กิจในอริยสัจ 4”
อันประกอบด้วย ปริญญา (การกําหนดรู้) ปหานะ (การละ) สัจฉิกิริยา การทําให้แจ้ง)
และภาวนา (การเจริญหรือการลงมือปฏิบัติ) จากหลักทั้งสอง ท่านได้เสนอแนะ การสอนกระบวนการแก้ปัญหาไว้เป็นขั้นตอน
ดังนี้
1. ขั้นกําหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) คือ การให้ผู้เรียนระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข
2. ขั้นตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) คือ การให้ผู้เรียนวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา
และ ตั้งสมมติฐาน
3. ขั้นทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) คือ การให้ผู้เรียนกําหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
ทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล
4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (ขั้นมรรค) คือการนําข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป
2. กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวัฒน์
สุมน อมรวิวัฒน์ (2524 :
196 - 199) ราชบัณฑิต สํานักธรรมศาสตร์และการเมือง สาขาการศึกษา คณะครศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกิตติเมธี ของมหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมาธิราช ได้อธิบายกระบวนการกัลยาณมิตรไว้ว่า
เป็นกระบวนการประสานสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อ กดมุ่งหมาย 2 ประการคือ 1. ชี้ทางบรรเทาทุกข์
2. ชี้สุขเกษมศานตึกระบวนการกัลยาณมิตรใช้หลักการที่ พิสูจน์แล้วว่าเป็นหลักที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้
คือหลักอริยสัจ 4 มาใช้ควบคู่กับหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งมีกระบวนการหรือขั้นตอน
8 ขั้นด้วยกันดังนี้
2.1 หาสร้างความไว้ใจตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ได้แก่
การที่ผู้สอนวางตนให้เป็นที่น่า เคารพรัก เป็นที่พึ่งแก่ผู้เรียนได้ มีความรู้และฝึกหัดอบรมและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ
สามารถสื่อสาร ชี้แจง ให้ศิษย์เกิดความเข้าใจ แจ่มแจ้ง มีความอดทน พร้อมที่จะรับฟังคําปรึกษา
และมีความตั้งใจสอนด้วยความ เมตตา ช่วยให้ผู้เรียนพ้นจากทางเสื่อม
2.2 การกําหนดและจับประเด็นปัญหา (ขั้นทุกข์)
2.3 การร่วมกันคิดวิเคราะห์เหตุของปัญหา (ขั้นสมุทัย)
2.4 การจัดลําดับความเข้มของระดับปัญหา
(ขั้นสมุทัย)
2.5 การกําหนดจุดหมาย หรือสภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
2.6 การร่วมกันคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา
(ขั้นนิโรธ)
2.7 การจัดลําดับจุดหมายของภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
2.8 การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางที่ถูกต้อง (ขั้นมรรค)
3. กระบวนการทางปัญญา
โดย ประเวศ วะสี
ประเวศ วะสี (2542) นักคิดคนสําคัญของประเทศไทย ผู้มีบทบาทอย่างมากในการกระตุ้นให้
เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น ท่านได้เสนอกระบวนการทางปัญญา ซึ่งควรฝึกฝนให้แก่ผู้เรียน
ประกอบด้วย ขั้นตอน 10 ขั้น ดังนี้
3.1 ฝึกสังเกตให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตสิ่งต่างๆ
ให้มาก ให้รู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว
3.2 ฝึกบันทึก ให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งต่างๆ และจดบันทึกรายละเอียดที่สังเกตเห็น
3.3 ฝึกการนําเสนอต่อที่ประชุม
เมื่อผู้เรียนได้ไปสังเกตหรือทําอะไร หรือเรียนรู้อะไรมาให้ ฝึกนําเสนอเรื่องนั้นต่อที่ประชุม
3.4 ฝึกการฟัง การฟังผู้อื่นช่วยให้ได้ความรู้มาก
ผู้เรียนจึงควรได้รับการฝึกให้เป็นผู้ฟังที่ดี
3.5 ฝึกปุจฉา วิสัชนา ให้ผู้เรียนฝึกการถาม
–
การตอบ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความแจ่มแจ้ง ในเรื่องที่ศึกษา รวมทั้งได้ฝึกการใช้เหตุผล
การวิเคราะห์และการสังเคราะห์
3.6 ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคําถาม
ให้ผู้เรียนฝึกคิดและตั้งคําถาม เพราะคําถ สําคัญในการได้มาซึ่งความรู้ ต่อไปจึงให้ผู้เรียนฝึกตั้งสมมติฐาน
และหาคําตอบ
3.7 ฝึกการค้นหาคําตอบ เมื่อมีคําถามและสมมติฐานแล้ว
ควรให้ผู้เรียนฝึกก แหล่งต่างๆ เช่น หนังสือ ตํารา อินเตอร์เน็ต หรือไปสอบถามจากผู้รู้
เป็นต้น
3.8 ฝึกการวิจัย การวิจัยเป็นกระบวนการหาคําตอบที่จะช่วยให้ผู้เรียนค้นพบควา83
ต
3.9 ฝึกเชื่อมโยงบูรณาการ
บรณาการให้เห็นความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเองเมื่อผู้เรียนได้ เรียนรู้อะไรมาแล้ว ควรให้ผู้เรียนเชื่อมโยงให้เห็นความเป็นทั้งหมด
และเกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่า สัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร อันจะทําให้เกิดมิติทางจริยธรรมขึ้น
ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การอยู่ ร่วมกันอย่างสันติ
3.10 ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ
หลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องใดแล้วควรให้ผู้เรียน ฝึก เรียบเรียงความรู้ที่ได้ การเรียบเรียงจะช่วยให้ความคิดประณีตขึ้น
ทําให้ต้องค้นคว้าหาหลักฐานที่มาของ ความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยําขึ้น การเรียบเรียงทางวิชาการเป็นวิธีการสําคัญในการพัฒนาปัญญาของตน
และเป็น ประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป
4. กระบวนการคิด
โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2542
: 4 –
5) นักรัฐศาสตร์ และราชบัณฑิต สํานักธรรมศาสตร์และ การเมือง และผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
นักคิดผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ซึ่งหันมาสนใจและพัฒนางาน ทางด้านการศึกษาอย่างจริงจัง
ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการคิดไว้ว่า การคิดของคนเรามีหลาย รูปแบบ โดยท่านได้ยกตัวอย่างมา
4 แบบ และได้อธิบายลักษณะของนักคิดทั้ง 4 แบบไว้ ซึ่งผู้เขียนจะขอ นํามาประยุกต์เป็นแนวทางในการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดของผู้เรียนได้
ดังนี้
4.1 การคิดแบบนักวิเคราะห์(analytical)
ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถใน การคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนแสวงหาข้อเท็จจริง
(fact) คูตรรกะ (logic) ทิศทาง (direction)
หาเหตุผล (reason) และมุ่งแก้ปัญหา (problem
solving)
4.2 การคิดแบบรวบยอด (conceptual)
ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถใน การคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดวาดภาพในสมองสร้างความคิดใหม่จากข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอน
หรือ มองข้อมูลเดิมในแง่มุมใหม่และส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าคิด กล้าทํา
4.3 การคิดแบบโครงสร้าง (Structural
thinking) การฝึกให้ผู้เรียนแยกแยะส่วนประกอบ ศึกษาส่วนประกอบ และเชื่อมโยงข้อมูล
จัดเป็นโครงสร้างจะทําให้ผู้เรียนมีการคิดอย่างเป็นระบบ สามารถ ตัดสินว่า ควรจะทําอะไรอย่างไร
4.4 การคิดแบบผู้นําสังคม
(social
thinking) การฝึกให้ผู้เรียนปฏิสัมพันธ์ พูดคุยกับผู้อื่น ทํา ตนเป็นผู้อํานวยความสะดวก
(facilitator) ฝึกทักษะกระบวนการทํางานรวมกันเป็นทีม
5.มิติการคิดและกระบนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย
ทิศนา แขมมณี และคณะ
ทิศนา แขมมณี
และคณะ (2543) ได้ศึกษาค้นคว้าและจัดมิติของการคิดไว้ 6 ด้านคือ
5.1 มิติด้านข้อมูลหรือเนื้อหาที่ใช้ในการคิด
การคิดของบุคคลจะเกิดขึ้นได้ จําเป็นต้องมี - บอย่างน้อย 2 ส่วน คือ เนื้อหาที่ใช้ในการคิดและกระบวนการคิด
คือต้องมีการคิดอะไร ควบคู่ไป
ย่างไร ซึ่งเรื่องหรือข้อมูลที่คิดนั้น มีจํานวนมากเกินกว่าที่จะกําหนดได้
อย่างไรก็ตาม อาจจัดกลุ่ม
เช่น 3 กลุ่ม คือ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลวิชาการ
(โกวิท วรวิพัฒน์ อ้างถึงในอุ่นตา นพคุณ, 2530 : 29 - 36)
5.2 มิติด้านคุณสมบัติที่เอื้ออํานวยต่อการคิด
ได้แก่ คุณสมบัติส่วนบุคคล ซึ่งมีผลโดยตรง โดยอ้อมต่อการคิดและคุณภาพของการคิด เช่น
ใจกว้าง ความใฝ่รู้ความกระตือรือร้น ความกล้าเสียง เป็นต้น
5.3 มิติด้านทักษะการคิด หมายถึง
กระบวนการหรือขั้นตอนที่บุคคลใช้ในการคิด ซึ่งจัดได้ เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน
(basic
thinking skills) ประกอบด้วยทักษะที่ใช้ในการสื่อสาร เช่น ทักษะการอ่าน
การพูด การเขียน ฯลฯ ทักษะการคิดที่เป็นแกน (core thinking skills) เช่น ทักษะการ สังเกต การเปรียบเทียบ เชื่อมโยง ฯลฯ และทักษะการคิดขั้นสูง
(higher order thinking skill) เช่นทักษะการ นิยาม การสร้าง การสังเคราะห์
การจัดระบบ ฯลฯ ทักษะการคิดขั้นสูงมักประกอบด้วย กระบวนการ หรือ ขั้นตอนที่ซับซ้อนมากกว่าทักษะการคิดขั้นที่ต่ํากว่า
5.4 มิติด้านลักษณะการคิด
เป็นประเภทของการคิดที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งมีความเป็น นามธรรมสูง จําเป็นต้องมีการตีความให้เห็นเป็นรูปธรรม
จึงจะสามารถเห็นกระบวนการหรือขั้นตอนการคิด ชัดเจนขึ้น เช่น การคิดกว้าง การคิดลึกซึ้ง
การคิดละเอียด เป็นต้น
5.5 มิติด้านกระบวนการคิด
เป็นการคิดที่ประกอบไปด้วยขั้นตอนหลักหลายขั้นตอน ซึ่งจะ นําผู้คิดไปสู่เป้าหมายเฉพาะของการคิดนั้น
โดยขั้นตอนหลักเหล่านั้นจําเป็นต้องอาศัยทักษะการคิดย่อยๆ จํานวนมากบ้างน้อยบ้าง กระบวนการคิดแก้ปัญหา
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กระบวนการวิจัย เป็นต้น
5.6 มิติด้านการควบคุมและประเมินการคิดของตน
(meta-cognition)
เป็นกระบวนการที่ บุคคลใช้ในการควบคุมกํากับการรู้คิดของตนเอง มีผู้เรียกการคิดลักษณะนี้ว่า
เป็นการคิดอย่างมียุทธศาสตร์ (Strategic thinking) ซึ่งครอบคลุมการวางแผน
การควบคุมกํากับการกระทําของตนเอง การตรวจสอบความก้าวหน้า และประเมินผล
นอกจากการนําเสนอมิติการคิดข้างต้นแล้ว
ทิศนา แขมมณี และคณะ (2543) - กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical
thinking) ซึ่งเป็นผลจากการสังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวก ของต่างประเทศและของประเทศไทย
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
จุดมุ่งหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
เพื่อให้ได้ความคิดที่รอบคอบสมเหตุสมผล
ผ่านการพิจารณาปัจจัยรอบด้านอย่างกล ลึกซึ้ง และผ่านการพิจารณากลั่นกรอง ไตร่ตรอง ทั้งทางด้านคุณ
โทษ และคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนนมาแล้ว
เกณฑ์ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ผู้ที่คิดอย่างมีวิจารณญาณ จะมีความสามารถดังนี้
1. สามารถกําหนดเป้าหมายในการคิดอย่างถูกต้อง
2. สามารถระบุประเด็นในการคิดอย่างชัดเจน
3. สามารถประมวลข้อมูล ทั้งทางด้านข้อเท็จจริง
และความคิดเห็นเกี่ยวกับที่คิด ทั้งทางด้าน กว้าง ทางลึก และไกล
4. สามารถวิเคราะห์ข้อมูล
และเลือกข้อมูลที่จะใช้ในการคิดได้
5. สามารถประเมินข้อมูลได้
6. สามารถใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูล
และเสนอคําตอบ/ทางเลือกที่สมเหตุสมผลได้
7.สามารถเลือกทางเลือก/ลงความเห็นในประเด็นที่คิดได้
วิธีการหรือขั้นตอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
1. ตั้งเป้าหมายในการคิด
2. ระบุประเด็นในการคิด
3. ประมวลข้อมูล ทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิดทั้งทาง
กว้าง ลึก และไกล
4. วิเคราะห์
จําแนกแยกแยะข้อมูล จัดหมวดหมู่ของข้อมูล และเลือกข้อมูลที่จะนํามาใช้ 5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้อง
ความเพียงพอ และความน่าเชื่อถือ
6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลเพื่อแสวงหาทางเลือก/คําตอบที่สมเหตุสมผลตาม
ข้อมูลที่มี
7. เลือกทางเลือกที่เหมาสมโดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมา
และคุณค่าหรือความหมายที่ แท้จริงของสิ่งนั้น
8. ชั่งน้ําหนัก ผลได้ ผลเสีย
คุณ –
โทษ ในระยะสั้นและระยะยาว
9. ไตร่ตรอง ทบทวนกลับไปมาให้รอบคอบ
10 ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด
6. กระบวนการคิด
โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
(2542 ข : 3 - 4 ) ผู้อํานวยการสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา 1 เดฟดี) และนักคิดคนสําคัญของประเทศ
ได้อภิปรายไว้ว่า หากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้ เส-ปรียบ ไม่ถูกหลอกง่าย
และสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ เราจึงจําเป็นต้องพัฒนาให้คนไทย “คิด 4.คือรู้จักวิธีการคิดที่ถูกต้อง และท่านได้เสนอแนะว่าควรมีการพัฒนาความสามารถในการคิดใน
10 มิติ จะแก่คนไทย โดยท่านได้ให้ความหมายของการคิดใน 10 มิติดังกล่าวไว้ ซึ่งผู้เขียนขอประยุกต์มาใช้เป็น
วทางในการจัดการเรียนการสอนสําหรับครูเพื่อใช้ในการพัฒนาผู้เรียนดังนี้
มิติที่ 1 ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์
(Critical
thinking) สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ โดยฝึกให้ผู้เรียนท้าทาย และโต้แย้งข้อสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังเหตุผลที่โยงความคิดเหล่านั้น
เพื่อเปิดทางสู่ แนวความคิดอื่นๆ ที่อาจเป็นไปได้
มิติที่ 2 ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์
(analytical
thinking) พัฒนาให้เกิดขึ้นได้โดย การฝึกให้ผู้เรียนสืบค้นข้อเท็จจริง
เพื่อตอบคําถามเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง โดยการตีความ (interpretation) การจําแนกแยกแยะ (classification) และการทําความเข้าใจ
(understanding) กับองค์ประกอบของสิ่งนั้นและ องค์ประกอบอื่นๆ
ที่สัมพันธ์กัน รวมทั้งเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (causal
relationship) ที่ไม่ขัดแย้ง กันระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นด้วยเหตุผลที่หนักแน่น
น่าเชื่อถือ
มิติที่ 3 ความสามารถในการคิดเชิงสังเคราะห์
(Synthesis
type thinking) และการฝึกให้ ผู้เรียนรวมองค์ประกอบที่แยกส่วนกัน มาหลอมรวมภายใต้โครงร่างใหม่อย่างเหมาะสม
ซึ่งจะช่วยพัฒนา ผู้เรียนความสามารถของผู้เรียนในการคิดเชิงสังเคราะห์ได้
มิติที่ 4 ความสามารถในการคิดเชิงเปรียบเทียบ
(comparative
thinking) การฝึกให้ผู้เรียน ค้นหาความเหมือนและ/หรือความแตกต่างขององค์ประกอบตั้งแต่
2 องค์ประกอบขึ้นไป เพื่อใช้ในการ อธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งบนมาตรการ (criteria)
เดียวกัน เป็นวิธีการช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิง เปรียบเทียบได้ดี
มิติที่ 5 ความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์
(conceptual
thinking) ผู้เรียนจะสามารถพัฒนา ทักษะในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกการนําข้อมูลทั้งหมดมาประสานกันและสร้างเป็นกรอบความคิดใหม่
ขึ้นมาใช้ในการตีความข้อมูลอื่นๆ ต่อไป
มิติที่ 6 ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์
(Creative
thinking) ความสามารถด้านนี้ "สนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดออกนอกกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่
ทําให้ได้แนวทางใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
มิติที่ 7 ความสามารถในการคิดเชิงประยุกต์
(applicative
thi ประโยชน์ต่อชีวิตประจําวันมาก ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกนําสิ่งต่
วัตถุประสงค์ใหม่ และปรับสิ่งที่มีอยู่เดิมให้เข้ากับบุคคล สถานที่ เวลา และเงื่อนไข
มิติที่ 3 ความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์
(Strategic
thinking) ความสามา พัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนกําหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรมที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขข้อจํากัดต่างๆ
4 : เป้าหมายที่ต้องการ
มิติที่ 9 ความสามารถในการคิดเชิงบูรณาการ
(integrative
thinking) คือการฝึกให้ผู้เรียน เชื่อมโยงเรื่องในมุมต่างๆ เข้ากับเรื่องหลักๆ
ได้อย่างเหมาะสม
มิติที่ 10 ความสามารถในการคิดเชิงอนาคต
(futuristic
thinking) เป็นความสามารถในการ คิดขั้นสูง ซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคาดการณ์
และประมาณการการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการใช้เหตุผลทางตรรกวิทยา
สมมติฐาน ข้อมูลและความสัมพันธ์ต่างๆ ของใน อดีตและปัจจุบัน เพื่อคาดการณ์ ทิศทางหรือขอบเขตทางเลือกที่เหมาะสมอีกทั้งมีพลวัตรสอดคล้องกับการ
เปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
7. กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
โกวิท ประวาลพฤกษ์ (2532)
นักวิชาการคนสําคัญท่านหนึ่งในวงการศึกษาได้เสนอความคิด เกี่ยวกับการพัฒนาค่านิยมและจริยธรรมไว้ว่า
ควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรม และดําเนินการ สอนตามขั้นตอนดังนี้
7.1 กําหนดพฤติกรรมทางจริยธรรมที่พึงปรารถนา
7.2 เสนอตัวอย่างพฤติกรรมในปัจจุบัน
7.3 ประเมินปัญหาเชิงจริยธรรม
7.4 แลกเปลี่ยนผลการประเมิน
7.5 ฝึกพฤติกรรมโดยมีผลสําเร็จ
7.6 เพิ่มระดับความขัดแย้ง
7.7 ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
7.8 กระตุ้นให้ผู้เรียนยอมรับตัวเอง
8. การจัดการเรียนการสอนเน้นกระบวนการ
โดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
ได้เสนอแนะการจัดการเรียนการสอน 12 กระบวนกา ด้วยกัน ทั้งนี้ กรมวิชาการ 2534)
8.1 ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น)
8.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
8.4 กระบวนการแก้ปัญหา
8.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
8.6 กระบวนการปฏิบัติ
8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์
8.8 กระบวนการเรียนภาษา
8.9 กระบวนการกลุ่ม
8.10 กระบวนการสร้างเจตคติ
8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
3.8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2534) ได้ให้ความหมายของการสอนที่เน้นกระบวนการไว้
ว่า เป็นการสอนที่
ก. สอนให้ผู้เรียนสามารถทําตามขั้นตอนได้และรับรู้ขั้นตอนทั้งหมดจนสามารถนําไปใช้ได้
จริงในสถานการณ์ใหม่ๆ
ข. สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนจนเกิดทักษะ
สามารถนําไปใช้ได้อย่างอัตโนมัติ
การสอนกระบวนการจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้เงื่อนไข
ดังนี้
1.ครูมีความเข้าใจและใช้กระบวนการนั้นอยู่
2. ครูนําผู้เรียนผ่านขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการทีละขั้นอย่างเข้าใจครบถ้วนครบวงจร
3. ผู้เรียนเข้าใจและรับรู้ขั้นตอนของกระบวนการนั้น
4. ผู้เรียนนํากระบวนการนั้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้
5. ผู้เรียนใช้กระบวนการนั้นในชีวิตประจําวันจนเป็นนิสัย
จะเห็นได้ว่ากระบวนการเหล่านี้ผู้สอนจะต้องเป็นผู้วางแผน
นําให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการ เรียนรู้จนบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น กระบวนการที่ใช้จะเป็นกระบวนการใดก็ย่อมขึ้นอยู่กับ
จุดประสงค์การเรียนรู้เป็นสําคัญ
8.1 ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น)
1.ตระหนักในปัญหาและความจําเป็น
ครูยกสถานการณ์ตัวอย่างและกระตุ้นให้ผู้เรียนตระหนักในปัญหาความจะเป็นของ
เรื่องที่ศึกษา หรือเห็นประโยชน์และความสําคัญของการศึกษาเรื่องนั้นๆ โดยครูอาจนําเสนอเป็นกรณีตัวอย่าง
หรือสถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาความขัดแย้งของเรื่องที่จะศึกษาโดยใช้สื่อประกอบ
เช่น รูปภาพ วิดีทัศน์ สถานการณ์จริง กรณีตัวอย่าง สไลด์ ฯลฯ
2. คิดวิเคราะห์วิจารณ์
ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์
วิจารณ์ ตอบคําถาม ทําแบบฝึกหัด และให้โอกา" ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่ม
หรือรายบุคคล
3. สร้างทางเลือกให้หลากหลาย
ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย
โดยร่วมกันคิดเสนอ ทางเลือก และอภิปรายข้อดีข้อเสียของทางเลือกนั้น
4. ประเมินและเลือกทางเลือก
ให้ผู้เรียนพิจารณาตัดสินเลือกแนวทางในการแก้ปัญหาและร่วมกันสร้างเกณฑ์โดย
คํานึงถึงปัจจัย วิธีดําเนินการ ผลผลิต ข้อจํากัด ความเหมาะสม กาลเทศะ เพื่อใช้ในการพิจารณาเลือกแนว
ทางการแก้ปัญหา ซึ่งอาจใช้วิธีระดมพลังสมอง อภิปราย ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ฯลฯ
5. กําหนดและลําดับขั้นตอนการปฏิบัติ
ให้ผู้เรียนวางแผนในการทํางานของตนเองหรือหลุ่ม
โดยอาจใช้ลําดับขั้นการ ดําเนินงานดังนี้
5.1 ศึกษาข้อมูลขั้นพื้นฐาน
5.2 กําหนดวัตถุประสงค์
5.3 กําหนดขั้นตอนการทํางาน
5.4 กําหนดผู้รับผิดชอบ (กรณีทําร่วมกันเป็นกลุ่ม)
5.5 กําหนดระยะเวลาการทํางาน
5.6 กําหนดวิธีการประเมิน
6. ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
ให้ผู้เรียนปฏิบัติตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ด้วยความสมัครใจ
ตั้งใจมีความกระตือรือร้น และเพลิดเพลินกับการทํางาน
7. ประเมินระหว่างปฏิบัติ
ให้ผู้เรียนสํารวจปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานโดยการซักถามอภิปรายแลกเปลี่ยน
ความคิดเห็น มีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอนและตามแผนงานที่กําหนดไว้ โดยสรุปผลการ
ทํางานแต่ละช่วง แล้วเสนอแนวทางการปรับปรุงการทํางานขั้นต่อไป
8. ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
ผู้เรียนนําผลที่ได้จากการประเมินในแต่ละขั้นตอนมาเป็นแนวทางในการพัฒนางาน
ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
9. ประเมินผลรวมเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ
ผู้เรียนสรุปผลการดําเนินงาน
โดยการเปรียบเทียบผลงานกับวัตถุประสงค์ที่กําหนด ไว้และผลพลอยได้อื่นๆ ซึ่งอาจเผยแพร่ขยายผลงานแก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ
8.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
1. สังเกต
ให้ผู้เรียนรับรู้ข้อมูล และศึกษาด้วยวิธีการต่างๆ
โดยใช้สื่อประกอบเพื่อกระตุ้นให้ ผู้เรียนเกิดข้อกําหนดเฉพาะด้วยตนเอง
2. จําแนกความแตกต่าง
ให้ผู้เรียนบอกถึงความแตกต่างของสิ่งที่รับรู้และให้เหตุผลในความแตกต่างนั้น
3. หาลักษณะร่วม
ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนในภาพรวมของสิ่งที่รับรู้
และสรุปเป็นวิธีการ หลักการ คําจํากัดความ หรือนิยาม
4. ระบุชื่อความคิดรวบยอด ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้
5. ทดสอบและนําไปใช้
ผู้เรียนได้ทดลอง ทดสอบ สังเกต
ทําแบบฝึกหัด ปฏิบัติ เพื่อประเมินความรู้
8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นความสามารถทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้
ความจํา จนถึงขั้นการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าตามแนวคิดของ บลูม (Bloom) หรือแนวความคิด ของกานเย่ (Gagne) ซึ่งเริ่มจากการเรียนรู้สัญลักษณ์ทางภาษาจนเชื่อมโยงเป็นความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์
และนํากฎเกณฑ์ไปใช้ ผู้สอน ควรพยายามใช้เทคนิคต่อไปนี้ ซึ่งไม่จําเป็นต้องใช้เป็นขั้นๆ
อาจจะเลือกใช้ เทคนิคใดก่อนหลังก็ได้ขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน แต่ความพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนผ่าน
ขั้นตอนย่อยทุกขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นสังเกต
ให้ผู้เรียนทํากิจกรรมรับรู้แบบปรนัยให้เกิดความเข้าใจ
ได้ความคิดรวบยอด เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ สรุปเป็นใจความสําคัญครบถ้วน
ตรงตามหลักฐานข้อมูล
2. อธิบาย
ให้ผู้เรียนตอบคําถาม แสดงความคิดเห็นเชิงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กําหนด
เน้นการใช้เหตุผล ด้วยหลักการ กฏเกณฑ์และอ้างหลักฐานข้อมูลประกอบให้น่าเชื่อถือ
3. รับฟัง
ให้ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็น
คําวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อความคิดของตน ได้ตอบคําถาม โต้ตอบ และแสดงความคิดเห็นของตน
ฝึกให้ผู้เรียนปรับเปลี่ยนความคิดเดิมๆ
ความคิดเดิมของตนตามเหตุผลหรือข้อมูลที่ดี
โดยไม่ใช้อารมณ์
4. เชื่อมโยงความสัมพันธ์
ให้ผู้เรียนได้เปรียบเทียบความแตกต่าง
และความคล้ายคลึงของสิ่งต่างๆ ให้สรุปจัด กลุ่มสิ่งที่เป็นพวกเดียวกัน เชื่อมโยงเหตุการณ์เชิงสาเหตุและผล
หากกฎเกณฑ์การเชื่อมโยงในลักษณะ อุปมาอุปไมย
5. วิจารณ์
จัดกิจกรรมให้วิเคราะห์เหตุการณ์
คํากล่าว แนวคิด หรือการกระทํา แล้วให้จําแนกหา จุดเด่น จุดด้อย ส่วนดี ส่วนเสีย ส่วนสําคัญ
ไม่สําคัญจากสิ่งนั้น ด้วยการยกเหตุผลหลักการมาประกอบ การวิจารณ์
6. สรุป
จัดกิจกรรมให้พิจารณาส่วนประกอบของการกระทําหรือข้อมูลต่างๆ
ที่เชื่อมโยง เกี่ยวข้องกัน แล้วให้สรุปผลอย่างตรงและถูกต้องตามหลักฐานข้อมูล
8.4 กระบวนการแก้ปัญหา
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด
1. สังเกต
ให้นักเรียนไปศึกษาข้อมูล
รับรู้และทําความเข้าใจในปัญหาจนสามารถสรุป และ ตระหนักในปัญหานั้น
2. วิเคราะห์
ให้ผู้เรียนได้อภิปราย หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อแยกแยะประเด็นปัญหา
สภาพ สาเหตุ และลําดับความสําคัญของปัญหา
3. สร้างทางเลือก
ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลายซึ่งอาจมีการทดลอง
ค้นคว้า ตรวจสอบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทํากิจกรรมกลุ่มและควรมีการกําหนดหน้าที่ในการทํางาน
ให้แก่ผู้เรียนด้วย
4. เก็บข้อมูลประเมินทางเลือก
ผู้เรียนปฏิบัติตามแผนงานและบันทึกการปฏิบัติงาน
เพื่อรายงานและตรวจสอบความ ถูกต้องของทางเลือก
5. สรุป
ผู้เรียนสังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเอง
ซึ่งอาจจัดทําในรูปของรายงาน
8.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่กระตุ้นให้ผู้เรียนให้ความสนใจ
เอาใจใส่ รับรู้ เห็นคุณค่า ในปรากฏการณ์ หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
ขั้นตอนการ ดําเนินการมีดังนี้
1. สังเกต
ให้ข้อมูลที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ
เอาใจใส่ และเห็นคุณค่า 2. วิจารณ์
ให้ตัวอย่าง สถานการณ์ ประสบการณ์ตรง
เพื่อให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์หาสาเหตุและ ผลดีผลเสีย ที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
3. สรุป
ให้อภิปรายหาข้อมูลหรือหลักฐานมาสนับสนุนคุณค่าของสิ่งที่จะต้องตระหนักและ
วางเป้าหมายที่จะพัฒนาตนเองในเรื่องนั้น
8.6 กระบวนการปฏิบัติ
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนปฏิบัติจนเกิดทักษะ
มีขั้นตอนดังนี้
1. สังเกตรับรู้
ให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างหลากหลายจนเกิดความเข้าใจและสรุปความคิดรวบยอด
2. ทําตามแบบ
ทําตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นทีละขั้นตอน
จากขั้นพื้นฐานไปสู่งานที่ซับซ้อนขึ้น
3. ทําเองโดยไม่มีแบบ
เป็นการให้ฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง
4. ฝึกให้ชํานาญ
ให้ผู้เรียนปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชํานาญหรือทําได้โดยอัตโนมัติ
ซึ่งอาจเป็น งานชิ้นเดิมหรืองานที่คิดขึ้นใหม่
8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์
กระบวนการนี้มี 2 วิธีการ
คือ สอนทักษะทางคิดคํานวณและทักษะแก้ปัญหาโจทย์ การสอน ทักษะการคิดคํานวณมีขั้นตอนย่อย
คือ สร้างความคิดรวบยอดของคํา นิยามศัพท์ สอนกฏโดยวิธีอุปนัย (สอน จากตัวอย่างไปสู่กฏเกณฑ์ใหม่)
ฝึกการวินิจฉัย ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง
ส่วนการสอนทักษะแก้ปัญหาโจทย์
มีขั้นตอนย่อยคือ โจทย์วางแผน ปฏิบัติตามขั้นตอน และตรวจสอบคําถาม
8.8 กระบวนการเรียนภาษา
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาทักษะทางภาษามีขั้นตอนดัง
1. ทําความเข้าใจสัญลักษณ์
สื่อ รูปภาพ รูปแบบเครื่องหมาย
ผู้เรียนรับรู้เกี่ยวกับความหมายของคํา
กลุ่มคํา ประโยคและถ้อยคําสํานวนต่าง
2. สร้างความคิดรวบยอด
ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้จากประสบการณ์นํามาสู่ความเข้าใจและเกิดภาพรวมเกี่ยว
สิ่งที่เรียนด้วยตนเอง
3. สื่อความหมาย ความคิด
ผู้เรียนถ่ายทอดทางภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้
4. พัฒนาความสามารถ
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขั้นตอนคือความรู้ความจํา
ความเข้าใจ การนําไปใช้ การ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า
8.9 กระบวนการกลุ่ม
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนทํางานร่วมกัน
โดยเน้นกิจกรรมดังนี้
1. มีผู้นํากลุ่ม ซึ่งอาจผลัดเปลี่ยนกัน
2. วางแผนกําหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
3. รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกทุกคนบนพื้นฐานของเหตุผล
4. แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ เมื่อมีการปฏิบัติ
5. ติดตามผลการปฏิบัติ และปรับปรุง
6. ประเมินผลรวมและชื่นชมในผลงานของคณะ
8.10 กระบวนการสร้างเจตคติ
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่แทรกได้กับทุกเนื้อหา
เน้นความรู้สึกที่ดีต่อกลุ่มที่เรียน อาจเป็นความคิด หลักการ การกระทํา เหตุการณ์ สถานการณ์
ฯลฯ มีขั้นตอนดังนี้
1.สังเกต
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล เหตุการณ์
การกระทําที่เกี่ยวข้องกับการมีเจตคติที่ดีและเจตคติ
2. วิเคราะห์
ผู้เรียนพิจารณาผลที่จะเกิดขึ้นตามมา
แยกเป็นการกระทําที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่า พอใจ และการกระทําที่ไม่เหมาะสมได้ผลที่ไม่น่าพอใจ
3. สรุป
ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็นหลักการ
แนวคิด แนวปฏิบัติ
8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเกิดการยอมรับและเห็น
คุณค่าของค่านิยมด้วยตนเอง มีขั้นตอนดังนี้
1. สังเกต ตระหนัก
ผู้เรียนพิจารณาการกระทําที่เหมาะสมและการกระทําที่ไม่เหมาสม
รับรู้ความหมาย จําแนกการกระทําที่แตกต่างกันได้
2. ประเมินเชิงเหตุผล
ผู้เรียนใช้กระบวนการอภิปรายกลุ่มแสดงความคิดเห็น
วิเคราะห์วิจารณ์การกระทํา ของตัวละคร หรือบุคคลในสถานการณ์ต่างๆ ว่าเหมาะสมหรือไม่เพราะเหตุใด
3. กําหนดค่านิยม
ผู้เรียนแต่ละคนแสดงความเชื่อ
ความพอใจในการกระทําที่ควรกระทําในสถานการณ์ ต่างๆ พร้อมเหตุผล
4. วางแผนปฏิบัติ
ผู้เรียนช่วยกันกําหนดแนวปฏิบัติในสถานการณ์จริงโดยมีครูร่วมรับทราบกติกา
การกระทํา และสํารวจสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะได้รับเมื่อกระทําดีแล้ว เช่น การได้ประกาศชื่อให้เป็นที่ยอมรับ
5. ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
ครูให้การเสริมแรงระหว่างการปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชม
ยินดี
8.12 กระบวนการเรียน ความรู้ความเข้าใจ
กระบวนการนี้ใช้กับการเรียนเนื้อหาเชิงความรู้ มีขั้นตอนดังนี้
1. สังเกต ตระหนัก
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล สาระความรู้
เพื่อสร้างความคิดรวบยอด ตั้งคําถาม ตั้งข้อสังเกต สังเคราะห์ข้อมูล เพื่อทําความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และกําหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่จะแสวงหาคําตอบ
ต่อไป
2. วางแผนปฏิบัติ
ผู้เรียนนําวัตถุประสงค์ หรือคําถามที่ทุกคนสนใจจะหาคําตอบมาวางแผนเพย
แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม
3. ลงมือปฏิบัติ
ครูกําหนดให้สมาชิกในกลุ่มย่อยๆ
ได้แสวงหาคําตอบจากแหล่งความรู้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ค้นคว้า สัมภาษณ์ ศึกษานอกสถานที่
หาข้อมูลจากองค์กรในชุมชน ฯลฯ ตามแผนงานทอง
4. พัฒนาความรู้ความเข้าใจ
ผู้เรียนนําความรู้ที่ได้มารายงานและอภิปรายเชิงแปลความ
ตีความ ขยายความ นําไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า
5. สรุป
ผู้เรียนรวบรวมเป็นสาระที่ควรรู้บันทึกลงสมุด
จะเห็นได้ว่า กระบวนการรวมทั้งรูปแบบการเรียนการสอนต่างๆ
ดังได้เสนอไปแล้วข้างต้น มีจํานวนและความหลากหลายพอสมควร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกเป็นจํานวนมาก
ผู้สอนจึงพึง ตระหนักว่าศาสตร์ทางการสอนได้ให้แนวคิดแนวทางในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่างหลากหลาย
พอสมควร หากผู้สอนรู้จักแสวงหา ศึกษาเรียนรู้ และนําไปทดลองใช้ จะสามารถช่วยให้การเรียนการสอนมี
ประสิทธิภาพ มีชีวิตชีวา และมีความหลากหลาย ไม่จําเจอยู่กับวิธีการหรือกระบวนการเพียงไม่กี่วิธีซึ่งอาจทํา
ให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น