ค้นคว้าเพิ่มเติม
· การประเมินผลเป็นธรรมชาติ เป็นพลวัติในห้องเรียน
การจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินต้องไปด้วยกัน
เครื่องมือและวิธีการที่ใช้มีหลากหลายประเภท
แต่ไม่ได้หมายความว่าครูจะต้องใช้ทุกแบบ แต่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ กิจกรรมการสอน
พฤติกรรมของนักเรียน และสภาพของสถานการณ์จริงของการเรียนรู้ ณ ขณะนั้น
ซึ่งครูต้องเลือกเป็นและเลือกให้เหมาะสม จึงจะเป็นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ปัญหาของการประเมินระหว่างเรียน
พบว่า นักเรียนไม่กล้าถามคำถาม
ครูอาจแก้ไขด้วยการให้นักเรียนแบ่งกลุ่มและช่วยกันระดมเขียนข้อคำถามลงในกระดาษ
โดยผ่านการทำงานเป็นทีม ถ้านักเรียนไม่มีคำถาม
ครูก็จะต้องกระตุ้นให้นักเรียนตั้งคำถามขึ้นมา ว่าสิ่งที่เขาไม่รู้เขาไม่รู้อะไร
การตั้งคำถามเป็นกลยุทธ์การสอน (Progressive Inquiry) ประเทศฟินแลนด์ใช้ทักษะการตั้งคำถามในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างกันไปตามประเด็นปัญหาซึ่งการทำงานเป็นทีมก็จะช่วยสื่อสารในด้านการคิด
สำหรับทักษะการประเมินตนเองและประเมินเพื่อน
ครูจะต้องออกแบบให้นักเรียนฝึกฝนจึงจะมีทักษะนี้
· การประเมินเพื่อการเรียนรู้
ต้องทำอย่างจริงจัง ค่อย ๆ เปลี่ยนวิธีคิดของครูและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องการสอนและการประเมินต้องมีการวางแผนให้ไปด้วยกัน
ต้องพยายามทำความเข้าใจและสร้างความตระหนักให้ครูเห็นว่า
ถ้าเปลี่ยนแปลงวิธีประเมินจะทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น
ให้ครูเข้าใจว่าการประเมินคือการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน ไม่ใช่การจัดอันดับ
การประเมินจึงเป็นทุกอย่างตั้งแต่การปรับปรุงพัฒนาเพื่อการเรียนรู้เป็นเทคนิคการสอน
หรือเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ที่ผ่านมา การประเมินระหว่างเรียน (Formative
Assessment) ของครูส่วนใหญ่มุ่งที่การเก็บคะแนน
ครูและนักเรียนขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการวัดและประเมินผล ถ้าครูมีความรู้ความสามารถในการวัดผล
ทั้งการประเมินระหว่างเรียน (Formative Assessment) และการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
(Summative Assessment) ก็จะเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน
และในงานวิจัย OECD (2006) พบว่า
การประเมินเพื่อการเรียนรู้
และการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนอย่างแท้จริง
· Assessment for Learning
· Assessment
was dynamic and natural for learning process in the classroom and should be
coincided with measurement. Although there was a variety of tools and
strategies of assessment, teachers did not need to use all of them depending on
learning objectives, activities, learners’ behaviors and actual learning
situations. Teachers had to concern on authentic assessment with reasonable and
appropriate selection. The problem was found that learners’ questioning in the
classroom was lacked, teachers could solve it by grouping, brainstorming
curious questions and writing to teachers through teamwork. Teachers could also
encourage learners to question by asking learners about what they did not know.
Questioning was progressive inquiry strategies. In the case in Finland,
questioning skills were applied into science instruction with different ways
according to science problems. Teamwork would help learners to communicate each
other in groups and improve thinking skills. Self-assessment and
peer-assessment should be designed for practicing learners to improve
questioning skills.
· Assessment
for learning need to do seriously and change teachers and stakeholders
perspectives. While instruction and assessment need to plan correspondingly. In
addition, understanding and awareness of assessment for learning should be
classified whether changing assessment methods would improve learning process.
Encouraging teachers to be clear that assessment is learners’ learning progress
not being the ranking. Therefore, assessment would be overall in learning
process: developing for learning, being teaching techniques, or being tools for
learning. In the recent years, typical formative assessment was emphasized on
scoring, teachers and learners lacked of clear understanding on assessment. If
teachers were knowledgeable on both formative and summative assessment, it
would impact directly to quality of learning and research from OECD (2006)
stated that assessment for learning and progressive assessment for learning
influenced learners’ achievement.
ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้
การรับรู้ (Perception)
การรับรู้
หมายถึง การแปลความหมายจากการสัมผัส โดยเริ่มตั้งแต่ การมีสิ่งเร้ามา
กระทบกับอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้า และส่งกระแสประสาท ไปยังสมอง เพื่อการแปลความ
กระบวนการของการรับรู้
(Process) เป็นกระบวนการที่คาบเกี่ยวกันระหว่างเรื่องความเข้าใจ การคิด การรู้สึก (Sensing) ความจำ (Memory) การเรียนรู้ (Learning) การตัดสินใจ (Decision making)
Sensing -----> Memory ------> Learning -------> Decision making


กระบวนการของการรับรู้
เกิดขึ้นเป็นลำดับดังนี้
สิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นคน
สัตว์ สิ่งของ หรือสถานการณ์ มาเร้าอินทรีย์ ทำให้เกิดการสัมผัส (Sensation) และเมื่อเกิดการสัมผัสบุคคล
จะเกิดมีอาการแปล การสัมผัสและมีเจตนา (Conation) ที่จะแปลสัมผัสนั้น
การแปลสัมผัส จะเกิดขึ้นในสมอง ทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ เช่น
การที่เราได้ยินเสียงดัง ปัง ปัง ๆ สมองจะแปลเสียงดังปัง ปัง
โดยเปรียบเทียบกับเสียง ที่เคยได้ยินว่าเป็น เสียงของอะไร เสียงปืน เสียงระเบิด
เสียงพลุ เสียงประทัด เสียงของท่อไอเสียรถ เสียงเครื่องยนต์ระเบิด หรือเสียงอะไร
ในขณะเปรียบเทียบ จิตต้องมีเจตนา ปนอยู่ ทำให้เกิดแปลความหมาย และ ต่อไปก็รู้ว่า
เสียงที่ได้ยินนั่นคือ เสียงอะไร อาจเป็นเสียงปืน เพราะบุคคลจะแปลความหมายได้
ถ้าบุคคลเคย มีประสบการณ์ในเสียงปืนมาก่อน และอาจแปลได้ว่า ปืนที่ดังเป็นปืนชนิดใด
ถ้าเขาเป็นตำรวจ จากตัวอย่างข้างต้นนี้ เราอาจสรุป กระบวนการรับรู้
จะเกิดได้จะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. มีสิ่งเร้า
( Stimulus ) ที่จะทำให้เกิด การรับรู้ เช่น
สถานการณ์ เหตุการณ์ สิ่งแวดล้อม รอบกาย ที่เป็น คน สัตว์ และสิ่งของ
2. ประสาทสัมผัส
( Sense Organs ) ที่ทำให้เกิดความรู้สึกสัมผัส
เช่น ตาดู หูฟัง จมูกได้ กลิ่น ลิ้นรู้รส และผิวหนังรู้ร้อนหนาว
3. ประสบการณ์
หรือความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเร้าที่เราสัมผัส
4. การแปลความหมายของสิ่งที่เราสัมผัส
สิ่งที่เคยพบเห็นมาแล้วย่อมจะอยู่ในความทรงจำของสมอง เมื่อบุคคลได้รับสิ่งเร้า
สมองก็จะทำหน้าที่ทบทวนกับความรู้ที่มีอยู่เดิมว่า สิ่งเร้านั้นคืออะไร
เมื่อมนุษย์เราถูกเร้าโดยสิ่งแวดล้อม
ก็จะเกิดความรู้สึกจากการสัมผัส (Sensation) โดยอาศัยอวัยวะสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา ทำหน้าที่ดูคือ มองเห็น หูทำหน้าที่ฟังคือ ได้ยิน
ลิ้นทำหน้าที่รู้รส จมูก ทำหน้าที่ดมคือได้กลิ่น
ผิวหนังทำหน้าที่สัมผัสคือรู้สึกได้อย่างถูกต้อง กระบวนการรับรู้
ก็สมบูรณ์แต่จริงๆ แล้วยังมีการสัมผัสภายในอีก 3 อย่างด้วยที่จะช่วยให้เรารับสัมผัสสิ่งต่างๆ
ลำดับขั้นของกระบวนการรับรู้
การรับรู้จะเกิดขึ้นได้
ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการดังนี้
ขั้นที่ 1 สิ่งเร้า( Stimulus
)มากระทบอวัยวะสัมผัสของอินทรีย์
ขั้นที่ 2 กระแสประสาทสัมผัสวิ่งไปยังระบบประสาทส่วนกลาง
ซึ่งมีศูนย์อยู่ที่สมองเพื่อสั่งการ ตรงนี้เกิดการรับรู้ (Perception )
ขั้นที่ 3 สมองแปลความหมายออกมาเป็นความรู้ความเข้าใจโดยอาศัย
ความรู้เดิม ประสบการณ์เดิม ความจำ เจตคติ ความต้องการ ปทัสถาน บุคลิกภาพ
เชาวน์ปัญญา ทำให้เกิดการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง การรับรู้ (Perception )
ตัวอย่าง
ขณะนอนอยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องเรียกเหมียวๆๆรู้ว่าเป็นเสียงร้องของสัตว์
และรู้ต่อไปว่าเป็นเสียงของแมว เสียงเป็นเครื่องเร้า (Stimulus) เสียงแล่นมากระทบหูในหูมีปลายประสาท
(End organ) เป็นเครื่องรับ (Receptor)เครื่องรับส่งกระแสความรู้สึก (Impulse) ไปทางประสาทสัมผัส
(Sensory nerve) เข้าไปสู่สมอง สมองเกิดความตื่นตัวขึ้น
(ตอนนี้เป็นสัมผัส) ครั้นแล้วสมองทำการแยกแยะว่า
เสียงนั้นเป็นเสียงคนเป็นเสียงสัตว์ เป็นเสียงของแมวสาวเป็นเสียงแมวหนุ่ม
ร้องทำไมเราเกิดอาการรับรู้ ตอนหลังนี้เป็น การรับรู้
เมื่อเรารู้ว่าเป็นเสียงของแมวเรียก ทำให้เราต้องการรู้ว่าแมวเป็นอะไร
ร้องเรียกทำไมเราจึงลุกขึ้นไปดูแมวตาม ตำแหน่งเสียงมี่ได้ยินและขานรับ
สมองก็สั่งให้กล้ามเนื้อปากทำการเปล่งเสียงขานรับ ตอนนี้ทางจิตวิทยาเรียกว่า
ปฏิกิริยาหรือการตอบสนอง (Reaction หรือ Response) เมื่อประสาทตื่นตัวโดยเครื่องเร้า จะเกิดมีปฏิกิริยา คือ อาการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
กลไกของการรับรู้
กลไกการรับรู้เกิดขึ้นจากทั้ง
สิ่งเร้าภายนอกและภายในอินทรีย์ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม อวัยวะรับสัมผัส (Sensory organ)เป็น
เครื่องรับสิ่งเร้าของมนุษย์
ส่วนที่รับความรู้สึกของอวัยวะรับสัมผัสอาจอยู่ลึกเข้าไปข้างใน มองจากภายนอกไม่เห็น
อวัยวะรับสัมผัส แต่ละอย่างมีประสาทรับสัมผัส (Sensory nerve) ช่วยเชื่อมอวัยวะรับสัมผัสกับเขตแดนการรับสัมผัสต่าง ๆ ที่สมอง
และส่งผ่านประสาทมอเตอร์ (Motor nerve) ไปสู่อวัยวะมอเตอร์
(Motor organ) ซึ่งประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ
ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองของอวัยวะมอเตอร์ และจะออกมาในรูปใดขึ้นอยู่กับ
การบังคับบัญชาของระบบประสาท ส่วนสาเหตุที่มนุษย์เราสามารถไวต่อความรู้สึกก็เพราะ
เซลประสาทของประสาทรับสัมผัส แบ่งแยกแตกออกเป็นกิ่งก้านแผ่ไปติดต่อกับ
อวัยวะรับสัมผัส และที่อวัยวะรับสัมผัสมีเซลรับสัมผัส ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวจึง
สามารถทำให้มนุษย์รับสัมผัสได้
จิตใจติดต่อกับโลกภายนอกได้โดยการสัมผัส
คนตาบอดแม้อธิบายให้ฟังว่าสีแดง สีเขียวเป็นอย่างไร
เขาก็จะเข้าใจให้ถูกต้องไม่ได้เลย เพราะเรื่องสีจะต้องรู้ด้วยตา
เครื่องมือสัมผัสอย่างหนึ่งก็ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง
คนหูหนวกย่อมไม่รู้สึกถึงลีลาความไพเราะของเสียงเพลง ดังนั้นการสอนจึงเน้นว่า
"ให้สอนโดยทางสัมผัส" การรับรู้นับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้
การรับรู้ที่ถูกต้องจึงจะส่งผล ให้ได้รับ ความรู้ที่ถูกต้อง นักเรียนต้องได้การรับรู้ที่ถูกต้อง
มิฉะนั้นความรู้ที่รับไปก็ผิดหมด อวัยวะสัมผัส กับการรับรู้
มนุษย์ย่อมมีพฤติกรรม
สนองตอบสิ่งแวดล้อมกระบวนการของการรับรู้เป็นสิ่งแรกที่มนุษย์สนองตอบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบประสาท
อวัยวะสัมผัส เป็นปัจจัยสำคัญของกระบวนการรับรู้ต้องมีความสมบูรณ์จึงจะสามารถรับรู้สิ่งเร้าได้ดีเพราะอวัยวะสัมผัสรับสิ่งเร้า
ที่มากระทบประสาทรับสัมผัสส่งกระแสประสาทไปยังสมองเพื่อให้สมองแปลความหมายออกมา
เกิดเป็นการรับรู้ และอวัยวะสัมผัสของมนุษย์ มีขีดความสามารถจำกัด กลิ่นอ่อนเกินไป
เสียงเบาเกินไป แสงน้อยเกินไปย่อมจะรับสัมผัสไม่ได้ ดังนั้นประเภท ขนาด
คุณภาพของสิ่งเร้าจึงมีผลต่อการรับรู้และการตอบสนอง
สิ่งเร้าบางประเภทไม่สามารถกระตุ้นอวัยวะสัมผัสของเราได้ เช่น คลื่นวิทยุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น